Talk of The Town
หวั่น 4 บจ.บิ๊กแคปในตลาดหุ้นไทย อาจสูญเสียรายได้ เหตุสงครามในเมียนมาระอุ
25 เมษายน 2567
บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด กองทัพเมียนมาระดมอากาศยานทิ้งระเบิดใส่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ทำให้เกิดความเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นทหารเมียนมา
ทั้งนี้ KCS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่มีธุรกิจรายได้จากเมียนมา อาทิ MEGA ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและสินค้าอุปโภค (สัดส่วนรายได้เมียนมาราว 35%) ,PTTEP รายได้ 11% ได้รับจาก PTT โดยตรงเป็น USD เข้าบัญชีในไทย ส่วนการจ่ายเงินในพม่าเป็นจ๊าด ทำจ่ายจากบัญชีนอกประเทศ จึงบริหารจัดการได้, กลุ่มเครื่องดื่ม OSP และ CBG มีสัดส่วนรายได้ 10%
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น MEGA ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน(22 เม.ย.ถึง 24 เม.ย.67) ราคาปรับลดลง 1.82% จากราคา 41.50 บาท มาอยู่ที่ 40.50 บาท หุ้น PTTEP ลดลง 0.63% จากราคา 158 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 159 บาท หุ้นCBG เพิ่มขึ้น 6.07% จากราคา 62.50 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65.50 บาท หุ้น OSP เพิ่มขึ้น 12.11% จากราคา 19.30 บาท มาอยู่ที่ 21.30 บาท
เมื่อสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำให้ซื้อหรือถือลงทุนในหุ้น MEGA ซึ่งบล.ทิสโก้ เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุว่า แนะนำซื้อหุ้น MEGA มูลค่าที่เหมาะสม 57.00 บาท เนื่องจากเรามีมุมมองเป็นกลางกับข้อมูลจากการประชุมนักวิเคราะห์ของ MEGA เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน
โดยการเติบโตของรายได้ในปี 2567 น่าจะมาจากธุรกิจแบรนด์ (เติบโตหลักเดียวกลางๆ) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยผลิตภัณฑ์ยา ในขณะที่รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายน่าจะทรงตัว เราคาดยอดขายเติบโต 4% ต่อปี สำหรับปี 67-68
บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 42 รายการในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ยอดนิยม 15 อันดับแรกของบริษัทในปัจจุบันยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักของแบรนด์ ซึ่งสร้างรายได้ถึง 70% ของแบรนด์ โดยปกติแล้วจะใช้เวลา 3 ปีกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะถึงระดับที่สร้างรายได้ 2-3% ของแบรนด์ ทั้งนี้ เราเชื่อว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องของ MEGA จะช่วยรักษาการเติบโตของรายได้ของธุรกิจแบรนด์ในระยะยาว
MEGA จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 8-10 รายการในอินโดนีเซียในปีนี้ ยอดขายในอินโดนีเซียน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ และบริษัทตั้งเป้ายอดขายประจำปีไว้ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 โรงงานน่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2025
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมควรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการขายที่มากขึ้นจากธุรกิจแบรนด์ (ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น) เป้าหมายของ MEGA ที่จะเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าในปี 2019 ภายในปี 2025 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นจะขยายจาก 45.2% ในปี 2023 เป็น 46% และ 46.8% ในปี 2024-25F โดยได้รับแรงหนุนจากสัดส่วนการขายที่มากขึ้นจากธุรกิจแบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูง
ทั้งนี้ 70% ของการขาดทุนของ FX ใน 4Q23 มาจากไนจีเรีย ซึ่งมีส่วนช่วยเพียงหลักเดียว (%) ที่ต่ำต่อรายได้ทั้งหมด ความเสี่ยงของการขาดทุน FX เกินกว่าระดับปัจจุบันไม่ควรมีนัยสำคัญ เพื่อบรรเทาผลกระทบ ผลิตภัณฑ์ในไนจีเรียจะถูกปรับราคาใหม่เพื่อให้ครอบคลุมการลดค่าเงินในปัจจุบัน
เนื่องจากกำไรหลัก 4Q23 สูงกว่าที่เราคาดไว้ 30% ทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไร เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2024-25F ขึ้น 6% ต่อปี ดังนั้น มูลค่าที่เหมาะสมของเราซึ่งคำนวณจาก PER ปี 2024 ที่ 18 เท่า (คำนวณจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของหุ้น) จึงเพิ่มขึ้นจาก 54.00 บาท เป็น 57.00 บาท เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยพิจารณาจากแนวโน้มในระยะยาวเป็นบวกของบริษัท โดยความเสี่ยงหลักคือ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในตลาดหลัก และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ KCS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่มีธุรกิจรายได้จากเมียนมา อาทิ MEGA ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและสินค้าอุปโภค (สัดส่วนรายได้เมียนมาราว 35%) ,PTTEP รายได้ 11% ได้รับจาก PTT โดยตรงเป็น USD เข้าบัญชีในไทย ส่วนการจ่ายเงินในพม่าเป็นจ๊าด ทำจ่ายจากบัญชีนอกประเทศ จึงบริหารจัดการได้, กลุ่มเครื่องดื่ม OSP และ CBG มีสัดส่วนรายได้ 10%
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น MEGA ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน(22 เม.ย.ถึง 24 เม.ย.67) ราคาปรับลดลง 1.82% จากราคา 41.50 บาท มาอยู่ที่ 40.50 บาท หุ้น PTTEP ลดลง 0.63% จากราคา 158 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 159 บาท หุ้นCBG เพิ่มขึ้น 6.07% จากราคา 62.50 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65.50 บาท หุ้น OSP เพิ่มขึ้น 12.11% จากราคา 19.30 บาท มาอยู่ที่ 21.30 บาท
เมื่อสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำให้ซื้อหรือถือลงทุนในหุ้น MEGA ซึ่งบล.ทิสโก้ เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุว่า แนะนำซื้อหุ้น MEGA มูลค่าที่เหมาะสม 57.00 บาท เนื่องจากเรามีมุมมองเป็นกลางกับข้อมูลจากการประชุมนักวิเคราะห์ของ MEGA เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน
โดยการเติบโตของรายได้ในปี 2567 น่าจะมาจากธุรกิจแบรนด์ (เติบโตหลักเดียวกลางๆ) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยผลิตภัณฑ์ยา ในขณะที่รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายน่าจะทรงตัว เราคาดยอดขายเติบโต 4% ต่อปี สำหรับปี 67-68
บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 42 รายการในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ยอดนิยม 15 อันดับแรกของบริษัทในปัจจุบันยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักของแบรนด์ ซึ่งสร้างรายได้ถึง 70% ของแบรนด์ โดยปกติแล้วจะใช้เวลา 3 ปีกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะถึงระดับที่สร้างรายได้ 2-3% ของแบรนด์ ทั้งนี้ เราเชื่อว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องของ MEGA จะช่วยรักษาการเติบโตของรายได้ของธุรกิจแบรนด์ในระยะยาว
MEGA จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 8-10 รายการในอินโดนีเซียในปีนี้ ยอดขายในอินโดนีเซียน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ และบริษัทตั้งเป้ายอดขายประจำปีไว้ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 โรงงานน่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2025
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมควรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการขายที่มากขึ้นจากธุรกิจแบรนด์ (ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น) เป้าหมายของ MEGA ที่จะเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าในปี 2019 ภายในปี 2025 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นจะขยายจาก 45.2% ในปี 2023 เป็น 46% และ 46.8% ในปี 2024-25F โดยได้รับแรงหนุนจากสัดส่วนการขายที่มากขึ้นจากธุรกิจแบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูง
ทั้งนี้ 70% ของการขาดทุนของ FX ใน 4Q23 มาจากไนจีเรีย ซึ่งมีส่วนช่วยเพียงหลักเดียว (%) ที่ต่ำต่อรายได้ทั้งหมด ความเสี่ยงของการขาดทุน FX เกินกว่าระดับปัจจุบันไม่ควรมีนัยสำคัญ เพื่อบรรเทาผลกระทบ ผลิตภัณฑ์ในไนจีเรียจะถูกปรับราคาใหม่เพื่อให้ครอบคลุมการลดค่าเงินในปัจจุบัน
เนื่องจากกำไรหลัก 4Q23 สูงกว่าที่เราคาดไว้ 30% ทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไร เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2024-25F ขึ้น 6% ต่อปี ดังนั้น มูลค่าที่เหมาะสมของเราซึ่งคำนวณจาก PER ปี 2024 ที่ 18 เท่า (คำนวณจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของหุ้น) จึงเพิ่มขึ้นจาก 54.00 บาท เป็น 57.00 บาท เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยพิจารณาจากแนวโน้มในระยะยาวเป็นบวกของบริษัท โดยความเสี่ยงหลักคือ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในตลาดหลัก และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น