“MAGURO” ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับ Premium-Mass เตรียม IPO โชว์รายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท เติบโต 57.06% พร้อมรุกเพิ่มสาขา ดันโตต่อเนื่อง
บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม เจ้าของ 3 แบรนด์ดัง ปักธง เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไตรมาส 2 นี้ เผยรายได้ปี 2566 โต 57.06% ทะลุ 1,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาท เติบโตแรง 131.12%
คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO กล่าวว่า “MAGURO” ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน เมื่อ 9 ปีที่แล้วเพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” และได้ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 15 มีนาคม 2567 MAGURO มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวม 26 สาขา คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิที่มุ่งเน้นการใช้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น 14 สาขา 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียม 6 สาขา และ 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับ 6 สาขา นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการจัดส่งอาหาร และรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย”
“ บริษัทฯ มีรายได้รวมและผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยบริษัทฯมีรายได้รวมในปี 2566 จำนวน 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% จากรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาทในปี 2566 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท ในปี 2565 โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 ถึงแม้ภาครัฐมีมาตรการการห้ามเปิดร้านอาหารซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศ แต่ MAGURO สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรได้ในตลอดช่วงวิกฤติดังกล่าว และเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยในปี 2566 เปิดสาขาใหม่จำนวนกว่า 9 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทฯ ยังวางแผนเปิดเพิ่มอีก 11 สาขา เพื่อที่จะสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิของ MAGURO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ จากการเปิดสาขาใหม่ของทั้ง 3 แบรนด์อย่างต่อเนื่อง และการสร้างรายได้ในสาขาเดิมให้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง อีกทั้งบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสานระหว่าง Data Driven และ Customer Experience ด้วยระบบ CRM ทำให้ ณ ปัจจุบัน MAGURO มีสมาชิกมากกว่า 150,000 คน โดยมีรายได้จากสมาชิกคิดเป็น 54.36% จากรายได้รวมธุรกิจร้านอาหาร แสดงให้เห็นถึง loyalty ในแบรนด์ของบริษัทฯ โดยรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากร้านอาหารญี่ปุ่น MAGURO คิดเป็น 61.96% ในขณะที่รายได้จากร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้ HITORI SHABU คิดเป็น 18.94% และรายได้จากร้านปิ้งย่างเกาหลี SSAMTHING TOGETHER คิดเป็น 19.10% ของรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร
“บริษัทฯ มีแผนที่ระดมทุน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยบริษัทฯมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, ปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน”
นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เป็นบริษัทฯ ที่มีกลุ่มผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหารระดับ Premium Mass สามารถสร้างแบรนด์ร้านอาหารที่แข็งแกร่ง ด้วยคุณภาพของอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่า ทำให้มีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยายไปยังฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ถึงแม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น แต่บริษัทฯ ยังคงโดดเด่นด้วยร้านอาหารถึง 3 รูปแบบ ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิ ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์คันไซต้นตำหรับ และร้านปิ้งย่างเกาหลี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมร้านอาหารที่มีมูลค่าตลาดสูงและเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ MAGURO ยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ ขยายฐานทุน และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”
คุณสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) (ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ) กล่าวว่า “MAGURO เป็นบริษัทที่มี Brand Portfolio ที่แข็งแกร่งในตลาดไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ MAGURO เอง รวมถึงแบรนด์ที่เปิดใหม่ทั้ง SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU ที่ล้วนได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และด้วยศักยภาพของแบรนด์ภายใต้การบริหารโดยบริษัทฯ ที่สามารถดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงและคุณภาพของการให้บริการ ทำให้บริษัทฯ มีทางเลือกที่หลากหลายในการเลือกที่ตั้งในการขยายสาขา โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่อยู่ใน CBD Area เพียงจำนวน 7 สาขา ที่เหลือเป็นสาขาที่อยู่ในกรุงเทพชั้นนอก ส่งผลทำให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนค่าเช่าที่ต่ำกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาและปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ จากสาเหตุดังกล่าวทำให้รายได้ของบริษัทฯ มีการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 64.26% ในช่วง 3 ปีล่าสุด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการควบคุมต้นทุน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มจาก 41.91% ในปี 2565 เป็น 45.17 % ในปี 2566 และส่งผลทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มจาก 4.71% ในปี 2565 เป็น 6.93% ในปี 2566 นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ ภายในไตรมาส 2 นี้ และน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี”
ปัจจุบันบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MAGURO” มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (“HOLISTIC IMPACT”) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%
ทั้งนี้ MAGURO มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนี้ 1.) HOLISTIC IMPACT สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 28.34% และ 13.52% ตามลำดับ 2.) นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 3.) นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 4.) นายรณกาจ ชินสำราญ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 5.) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ และ 6.) ประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 27.03%