อีกหนึ่งกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด คือ “หุ้นโรงไฟฟ้า” ซึ่งล่าสุดกำลังจะเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2567 กันแล้ว ดังนั้นทีมข่าว Share2Trade จึงได้รวบรวมแนวโน้มการเติบโตของ 3 หุ้นรายใหญ่ในกลุ่มนี้มาฝากนักลงทุน
GULF ไตรมาสแรกทะยาน
เริ่มกันที่ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติไตรมาส 1/67 ที่ 3,914 ล้านบาท เติบโต 12%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อน แม้ราคาก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล เพราะได้แรงหนุนจาก 1. คาดการปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค. - เม.ย. 2567 ของ กกพ. สามารถชดเชยผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวได้
2. คาดปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า IPP ที่เร่ง ตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลและการ COD โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 ในเดือน มี.ค. (ขนาด 377.3MWe) จะส่งผลให้รายได้ของโรงไฟฟ้า IPP เติบโตจากไตรมาสก่อน
3.คาดค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 933 ล้านบาท ลดลง 34% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงตามฤดูกาล และ 4. คาดส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่ระดับ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหลังค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการตลาดของ ADVANC ลดลงตามฤดูกาล
ขณะที่ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้จากส่วนแบ่งกำไรของ INTUCH ที่เพิ่มขึ้น (ผลจากการแข่งขันในตลาดมือถือที่เริ่มลดลง) และการ COD กำลังผลิตใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นหลัก หากกำไรปกติไตรมาส 1/67 ออกมาใกล้เคียงคาด จะคิดเป็นสัดส่วน 22% ของกำไรทั้งปี
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/67 เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4,000-4,300 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้จาก 1.การรับรู้ส่วนแบ่งก าไรจากโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 แบบเต็มไตรมาสและการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3 ขนาด 662.5MW (COD 31 มี.ค. 2567)
2.การที่แหล่งก๊าซเอราวัณสามารถกลับมาผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มประสิทธิภาพที่ระดับ 800 mmscfd ในเดือน เม.ย. รวมถึงปัจจัยฤดูกาลจะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทฯ เริ่มฟื้นตัว
และ 3. ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องเพราะการแข่งขันที่ลดลงทั้งในตลาดมือถือและตลาด Broadband ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของ ADVANC มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ที่ 52.75 บาท/หุ้น โดยคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 18,107 ล้านบาท เติบโต 21.86% จากปีก่อน
GPSC กำไรโต 59% จากไตรมาสก่อน
ส่วน GPSC นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกันประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/67 คาดกำไรสุทธิ 757 ล้านบาท เติบโต 59% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าไฟฟ้าสูงขึ้น, ต้นทุนถ่านหินลดลง, ปริมาณขายไฟฟ้า – ไอน้ำฟื้นตัว, ปัจจัยฤดูกาลของ Avaada
โดยคาดไตรมาส 1/67 ยังรับรู้ปัจจัยบวกไม่เต็มที่ เนื่องจากต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นหลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือ ราคาก๊าซของภาครัฐ, ยังไม่รับรู้ประโยชน์จากนโยบาย Single Pool Gas, ส่วนแบ่งกำไรลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรี และโรงไฟฟ้าลมไต้หวัน
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/67 มองว่าจะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการเข้าสู่ High Season ของความต้องการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อน และการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติชดเชยการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีข้อจำกัดจากปริมาณน้ำฝนน้อยในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้คาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติ – ถ่านหินจะลดลงตามราคาพลังงานในตลาดโลก และการเพิ่มสัดส่วนอุปทานก๊าซในอ่าวไทย (ราคาต่ำ ) โดยเฉพาะแหล่งก๊าซเอราวัณสามารถเร่งปริมาณผลิตได้ตามเป้าหมาย 800 mmscfd ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. (เร็วกว่าแผนเดิมช่วงต้นเดือนเม.ย.)
ดังนั้นจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ระดับ 5.3 พันล้านบาท เติบโต 45%จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 57 บาท
BGRIM กำไรโต 25%
BGRIM นักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว เปิดเผยว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 1/67 ที่ 472 ล้านบาท เติบโต 23%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้การเติบโตจากไตรมาสก่อน แม้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น หลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายไฟฟ้าให้กับ EGAT ที่ฟื้นตัวตามฤดูกาลและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าของกกพ.ขณะที่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดเติบโตได้จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงและการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/67 เบื้องต้นคาดกำไรที่ระดับ 500 ล้านบาท (แบบบวกลบ) เติบโตจากไตรมาสก่อน ตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงแต่ลดลง ส่วนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่สูง ดังนั้นคงคาแนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ที่ 29.25 บาท/หุ้น และคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 2,123 ล้านบาท เติบโต 3% จากปีก่อน
GULF ไตรมาสแรกทะยาน
เริ่มกันที่ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติไตรมาส 1/67 ที่ 3,914 ล้านบาท เติบโต 12%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อน แม้ราคาก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล เพราะได้แรงหนุนจาก 1. คาดการปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค. - เม.ย. 2567 ของ กกพ. สามารถชดเชยผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวได้
2. คาดปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า IPP ที่เร่ง ตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลและการ COD โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 ในเดือน มี.ค. (ขนาด 377.3MWe) จะส่งผลให้รายได้ของโรงไฟฟ้า IPP เติบโตจากไตรมาสก่อน
3.คาดค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 933 ล้านบาท ลดลง 34% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงตามฤดูกาล และ 4. คาดส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่ระดับ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหลังค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการตลาดของ ADVANC ลดลงตามฤดูกาล
ขณะที่ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้จากส่วนแบ่งกำไรของ INTUCH ที่เพิ่มขึ้น (ผลจากการแข่งขันในตลาดมือถือที่เริ่มลดลง) และการ COD กำลังผลิตใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นหลัก หากกำไรปกติไตรมาส 1/67 ออกมาใกล้เคียงคาด จะคิดเป็นสัดส่วน 22% ของกำไรทั้งปี
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/67 เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4,000-4,300 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้จาก 1.การรับรู้ส่วนแบ่งก าไรจากโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 แบบเต็มไตรมาสและการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3 ขนาด 662.5MW (COD 31 มี.ค. 2567)
2.การที่แหล่งก๊าซเอราวัณสามารถกลับมาผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มประสิทธิภาพที่ระดับ 800 mmscfd ในเดือน เม.ย. รวมถึงปัจจัยฤดูกาลจะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทฯ เริ่มฟื้นตัว
และ 3. ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องเพราะการแข่งขันที่ลดลงทั้งในตลาดมือถือและตลาด Broadband ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของ ADVANC มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ที่ 52.75 บาท/หุ้น โดยคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 18,107 ล้านบาท เติบโต 21.86% จากปีก่อน
GPSC กำไรโต 59% จากไตรมาสก่อน
ส่วน GPSC นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกันประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/67 คาดกำไรสุทธิ 757 ล้านบาท เติบโต 59% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าไฟฟ้าสูงขึ้น, ต้นทุนถ่านหินลดลง, ปริมาณขายไฟฟ้า – ไอน้ำฟื้นตัว, ปัจจัยฤดูกาลของ Avaada
โดยคาดไตรมาส 1/67 ยังรับรู้ปัจจัยบวกไม่เต็มที่ เนื่องจากต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นหลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือ ราคาก๊าซของภาครัฐ, ยังไม่รับรู้ประโยชน์จากนโยบาย Single Pool Gas, ส่วนแบ่งกำไรลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรี และโรงไฟฟ้าลมไต้หวัน
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/67 มองว่าจะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการเข้าสู่ High Season ของความต้องการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อน และการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติชดเชยการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีข้อจำกัดจากปริมาณน้ำฝนน้อยในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้คาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติ – ถ่านหินจะลดลงตามราคาพลังงานในตลาดโลก และการเพิ่มสัดส่วนอุปทานก๊าซในอ่าวไทย (ราคาต่ำ ) โดยเฉพาะแหล่งก๊าซเอราวัณสามารถเร่งปริมาณผลิตได้ตามเป้าหมาย 800 mmscfd ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. (เร็วกว่าแผนเดิมช่วงต้นเดือนเม.ย.)
ดังนั้นจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ระดับ 5.3 พันล้านบาท เติบโต 45%จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 57 บาท
BGRIM กำไรโต 25%
BGRIM นักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว เปิดเผยว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 1/67 ที่ 472 ล้านบาท เติบโต 23%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้การเติบโตจากไตรมาสก่อน แม้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น หลังได้แรงหนุนจากปริมาณขายไฟฟ้าให้กับ EGAT ที่ฟื้นตัวตามฤดูกาลและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าของกกพ.ขณะที่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดเติบโตได้จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงและการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/67 เบื้องต้นคาดกำไรที่ระดับ 500 ล้านบาท (แบบบวกลบ) เติบโตจากไตรมาสก่อน ตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงแต่ลดลง ส่วนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่สูง ดังนั้นคงคาแนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ที่ 29.25 บาท/หุ้น และคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 2,123 ล้านบาท เติบโต 3% จากปีก่อน