บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของไทย อย่าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ไตรมาส 1/67 กำลังจะมีผลขาดทุนเกิดขึ้น แต่จะด้วยสาเหตุอะไร Share2Trade หาคำตอบมาให้แล้ว
CK ขาดทุนเล็กน้อย
เริ่มกันที่ CK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า CK จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 15 พ.ค. นี้ คาดผลประกอบการไตรมาส 1/67 ขาดทุนเล็กน้อย 8 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อน มีกำไร 156 ล้านบาท และในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 217 ล้านบาท
โดยเนื่องจาก ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในไตรมาส 1/67 คาดจะลดลงเหลือเพียง 72 ล้านบาท ลดลง 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 85% จากไตรมาสก่อน ถูกกดดันจากรับรู้ขาดทุนจาก CKP (CK ถือหุ้น 30%) 141 ล้านบาท และรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (CK ถือหุ้น 20%) 113 ล้านบาท ในขณะที่คาดจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM (CK ถือหุ้น 35.5%) 326 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม CK มี Backlog ณ สิ้นปี 2566 ที่สูง 1.3 แสนล้านบาท อนาคตมีแนวโน้มจะได้งานเพิ่มจากบริษัทลูก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.27 แสนล้านบาท ซึ่ง BEM ชนะการประมูลแล้วรอรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติ
โครงการทางด่วน 2 ชั้น งามวงศ์วาน – พระรามเก้า ดำเนินการลงทุนโดย BEM มูลค่าลงทุน 35,000 ล้านบาท ปัจจุบันกำลังทำ EIA คาดได้ข้อสรุปและเสนอให้ ครม.ใหม่ได้ภายในปี 2567 นี้
และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้งาน M&E 2.7 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มที่ BEM จะได้เดินรถต่อเนื่องจาก รถไฟฟ้าสายสีม่วงเหนือ บางใหญ่ – เตาปูน จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 แสนล้านบาท เข้าสู่ New S-Curve
ดังนั้นคาดกำไรปกติปี 2567 จะเติบโตดีต่อเนื่องอีก 40% สู่ระดับ 2,040 ล้านบาท แรงหนุนจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบางมูลค่าโครงการ 99,788 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และ รถไฟทางคู่ เด่นชัย - เชียงราย- เชียงของ ที่เร่งตัวมากขึ้น คาดยอดรับรู้รายได้ 37,800 ล้านบาท เติบโต 4% และ ยังได้แรงหนุนเพิ่มจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM และ CKP ที่เติบโต และ เงินปันผลรับจาก TTW คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 26 บาท
STEC คาดพลิกขาดทุน 22 ล้านบาท
ขณะที่ STEC นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดไตรมาส 1/67 พลิกเป็นขาดทุนปกติที่ 22 ล้านบาท จากไตรมาส 4/66 มีกำไรปกติ 74 ล้านบาท และไตรมาส 1/66 มีกำไรปกติ 171 ล้านบาท อ่อนแอกว่าเดิมที่ประเมินว่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน
โดยถูกดดันจากรายได้ที่คาดชะลอลงเป็น 6,470 ล้านบาท ลดลง 19.7% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้ก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ที่อยู่ช่วงท้ายโครงการลดลง และไม่ได้รับรู้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สิ้นสุดไปในไตรมาส 4/66
ขณะที่ GPM คาดชะลอลงเป็น 4.6% จาก 5.1% ในไตรมาส 4/66 และ 5.9% ในไตรมาส 1/66 จากสัดส่วนการรับรู้รายได้ที่เปลี่ยน และบริษัทยังมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมอุโมงค์บึงหนองบอนต่อเนื่อง
นอกจากนี้คาดผลประกอบการจะถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนของรถไฟฟ้าสายเหลือง-สีชมพูมากขึ้นเป็น 122 ล้านบาท (ไตรมาส 4/66 ขาดทุนที่ 51 ล้านบาท) จากการรับรู้สายสีชมพูเต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก รวมถึง STEC จะรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็น 35 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 9.57 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าหากไม่รวมสนามบินอู่ตะเภาที่ 2.7 หมื่นล้านบาทBacklog จะอยู่ที่ 6.86 หมื่นล้านบาท โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการยื่นและรอผลประมูลคือ 1. ทางด่วนจตุโชติ-ลา ลูกกา
มูลค่า 1.94 หมื่นล้านบาท และ 2. รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 2.94 หมื่นล้านบาท ขณะที่งานโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ คาดจะทยอยเปิดประมูลในครึ่งหลังปี 67 เป็นต้นไป
ส่วนในไตรมาส 2/67 จะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าของ GULF ได้มากขึ้นหนุนรายได้ให้คาดฟื้นตัวไประดับ 7,000 ล้านบาทได้ แต่ยังต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูต่อเนื่อง
เบื้องต้นประเมินผลประกอบการในไตรมาส 2/67 จะฟื้นได้จากไตรมาสแรก เนื่องจากรายได้ที่สูงขึ้น, การรับรู้รายได้ปันผลจาก GULF และทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้เราประเมินว่าประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2567 ของฝ่ายวิจัยอาจมี Downside risk เบื้องต้นคาดปี 2567 มีกำไรปกติ 566 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน
โดยลดคำแนะนำลงจาก ซื้อ เป็น TRADING ราคาเป้าหมาย 11.30 บาท เชิงกลยุทธ์ หากมีสถานะแนะนำขายทำ กำไร หรือ Switch ไป CK ที่ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER ที่ถูกกว่า (19 เท่า) แต่หากไม่มีสถานะ แนะนำชะลอการลงทุน และรอดูอีกครั้งหลังงบออก
CK ขาดทุนเล็กน้อย
เริ่มกันที่ CK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า CK จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 15 พ.ค. นี้ คาดผลประกอบการไตรมาส 1/67 ขาดทุนเล็กน้อย 8 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อน มีกำไร 156 ล้านบาท และในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 217 ล้านบาท
โดยเนื่องจาก ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในไตรมาส 1/67 คาดจะลดลงเหลือเพียง 72 ล้านบาท ลดลง 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 85% จากไตรมาสก่อน ถูกกดดันจากรับรู้ขาดทุนจาก CKP (CK ถือหุ้น 30%) 141 ล้านบาท และรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (CK ถือหุ้น 20%) 113 ล้านบาท ในขณะที่คาดจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM (CK ถือหุ้น 35.5%) 326 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม CK มี Backlog ณ สิ้นปี 2566 ที่สูง 1.3 แสนล้านบาท อนาคตมีแนวโน้มจะได้งานเพิ่มจากบริษัทลูก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.27 แสนล้านบาท ซึ่ง BEM ชนะการประมูลแล้วรอรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติ
โครงการทางด่วน 2 ชั้น งามวงศ์วาน – พระรามเก้า ดำเนินการลงทุนโดย BEM มูลค่าลงทุน 35,000 ล้านบาท ปัจจุบันกำลังทำ EIA คาดได้ข้อสรุปและเสนอให้ ครม.ใหม่ได้ภายในปี 2567 นี้
และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้งาน M&E 2.7 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มที่ BEM จะได้เดินรถต่อเนื่องจาก รถไฟฟ้าสายสีม่วงเหนือ บางใหญ่ – เตาปูน จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 แสนล้านบาท เข้าสู่ New S-Curve
ดังนั้นคาดกำไรปกติปี 2567 จะเติบโตดีต่อเนื่องอีก 40% สู่ระดับ 2,040 ล้านบาท แรงหนุนจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบางมูลค่าโครงการ 99,788 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และ รถไฟทางคู่ เด่นชัย - เชียงราย- เชียงของ ที่เร่งตัวมากขึ้น คาดยอดรับรู้รายได้ 37,800 ล้านบาท เติบโต 4% และ ยังได้แรงหนุนเพิ่มจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM และ CKP ที่เติบโต และ เงินปันผลรับจาก TTW คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 26 บาท
STEC คาดพลิกขาดทุน 22 ล้านบาท
ขณะที่ STEC นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดไตรมาส 1/67 พลิกเป็นขาดทุนปกติที่ 22 ล้านบาท จากไตรมาส 4/66 มีกำไรปกติ 74 ล้านบาท และไตรมาส 1/66 มีกำไรปกติ 171 ล้านบาท อ่อนแอกว่าเดิมที่ประเมินว่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน
โดยถูกดดันจากรายได้ที่คาดชะลอลงเป็น 6,470 ล้านบาท ลดลง 19.7% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้ก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ที่อยู่ช่วงท้ายโครงการลดลง และไม่ได้รับรู้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สิ้นสุดไปในไตรมาส 4/66
ขณะที่ GPM คาดชะลอลงเป็น 4.6% จาก 5.1% ในไตรมาส 4/66 และ 5.9% ในไตรมาส 1/66 จากสัดส่วนการรับรู้รายได้ที่เปลี่ยน และบริษัทยังมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมอุโมงค์บึงหนองบอนต่อเนื่อง
นอกจากนี้คาดผลประกอบการจะถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนของรถไฟฟ้าสายเหลือง-สีชมพูมากขึ้นเป็น 122 ล้านบาท (ไตรมาส 4/66 ขาดทุนที่ 51 ล้านบาท) จากการรับรู้สายสีชมพูเต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก รวมถึง STEC จะรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็น 35 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 9.57 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าหากไม่รวมสนามบินอู่ตะเภาที่ 2.7 หมื่นล้านบาทBacklog จะอยู่ที่ 6.86 หมื่นล้านบาท โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการยื่นและรอผลประมูลคือ 1. ทางด่วนจตุโชติ-ลา ลูกกา
มูลค่า 1.94 หมื่นล้านบาท และ 2. รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 2.94 หมื่นล้านบาท ขณะที่งานโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ คาดจะทยอยเปิดประมูลในครึ่งหลังปี 67 เป็นต้นไป
ส่วนในไตรมาส 2/67 จะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าของ GULF ได้มากขึ้นหนุนรายได้ให้คาดฟื้นตัวไประดับ 7,000 ล้านบาทได้ แต่ยังต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูต่อเนื่อง
เบื้องต้นประเมินผลประกอบการในไตรมาส 2/67 จะฟื้นได้จากไตรมาสแรก เนื่องจากรายได้ที่สูงขึ้น, การรับรู้รายได้ปันผลจาก GULF และทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้เราประเมินว่าประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2567 ของฝ่ายวิจัยอาจมี Downside risk เบื้องต้นคาดปี 2567 มีกำไรปกติ 566 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน
โดยลดคำแนะนำลงจาก ซื้อ เป็น TRADING ราคาเป้าหมาย 11.30 บาท เชิงกลยุทธ์ หากมีสถานะแนะนำขายทำ กำไร หรือ Switch ไป CK ที่ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER ที่ถูกกว่า (19 เท่า) แต่หากไม่มีสถานะ แนะนำชะลอการลงทุน และรอดูอีกครั้งหลังงบออก