รายงานพิเศษ : “น้ำมันพุ่ง-เงินบาทอ่อนค่า” ไม่กระทบกำไรไตรมาสแรก SFLEX
บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) โบรกเกอร์คาดกำไร 1Q67 ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส เชื่อราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงต้นปีและเงินบาทที่อ่อนค่า ไม่ผลกระทบกำไร แต่รายจ่ายในการขายและบริหารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แนะนำ “ซื้อ”
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 1/67 จะทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส คาดมีกำไรอยู่ที่ 53.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อน และ เพิ่มขึ้น21% จากไตรมาสก่อน กำไรที่คาดจะโตเด่น หลักๆมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดจะยืนสูงต่อเนื่องที่ราว 24% ซึ่งสูงกว่า 20.5% ใน 1Q66 แต่คาดชะลอลงเล็กน้อยจาก 25.25% ในไตรมาส 4/66
ทั้งนี้เราคาดการณ์โดยยึดหลักอนุรักษ์นิยมโดยประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในประมาณการฯของเรา แม้ว่าทางบริษัทได้ทำการป้องกันความเสี่ยงจากทั้ง 2 ปัจจัยไว้แล้ว ซึ่งในกรณีที่ดี บริษัทฯสามารถป้องกันความเสี่ยงทั้ง 2 ได้ดีตามที่ผู้บริหารได้ตั้งเป้าหมายไว้ มีโอกาสที่กำไรไตรมาส 1/67 จะสูงเกินคาดได้เช่นกัน
นอกจากนี้รายจ่ายในการขายและบริหาร คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบจากไตรมาสก่อน เนื่องจากจะไม่มีรายจ่ายโบนัสพนักงานในไตรมาสนี้เช่นในไตรมาส 4/66 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะส่วนแบ่งรายได้จาก JV เวียดนาม) ราว 2 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ทั้งนี้เราประเมินว่าบริษัท JV ที่เวียดนามยังอยู่ในขั้นตอนการเข้าไปปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการภายในให้ได้มาตรฐานของ SCGP ดังนั้นคาดว่าหลังจากนี้ JV จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาสที่เหลือของปี
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังระบุด้วยว่า ได้ปรับปรุงประมาณการฯปี 2567 ขึ้นเล็กน้อยเป็น 219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน จาก 215 ล้านบาท โดยการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้ปีนี้เติบโตราว 5% แม้ว่าทางบริษัทจะยังคงกำหนดกลยุทธ์เลือกลูกค้าและสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากกว่าลูกค้าและสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ อัตรากำไรขั้นต้นเป็นปัจจัยสำคัญของกำไรที่เติบโตของ SFLEX ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และทางบริษัทจะยังคงเน้นกลยุทธ์นี้ต่อในปีนี้
ล่าสุดได้ทำการสั่งซื้อวัตถุดิบเม็ดพลาสติกไว้ล่วงหน้าสำหรับการผลิตในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 แล้ว รวมทั้งในทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้แล้วเช่นกัน ทำให้เราคาดว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของ SFLEX อย่างมีนัยสำคัญ เรายังคงกำหนดสมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมโดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 22.5% ลดลงเล็กน้อยเทียบ 24% ในปีก่อน แต่ยังคงเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วง 3 –5 ปีที่ผ่านมา (เฉลี่ยราว 17 –18%)
อย่างไรก็ดี คาดแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/67 จะชะลอลงเล็กน้อยเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากมีวันหยุดจำนวนมาก (เทศกาลสงกรานต์ในไทย) แต่เราคาด Earnings momentum จะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 โดยเฉพาะส่วนแบ่งกำไรจาก JV (เวียดนาม) ที่จะเป็น High season และคาดว่าการปรับปรุงการบริหารจัดการภายในจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้เรายังไม่ได้รวมประเด็นเรื่องโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต ไว้ในประมาณการฯ ซึ่งอาจะเป็น Upside ต่อประมาณการฯปี 2567 เนื่องจากหากโครงการนี้เริ่มต้นจะทำให้ลูกค้าเร่งการผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อการจับจ่ายใช้สอยที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/67
Valuation ของ SFLEX ถูกมากในขณะนี้ โดยเทรดที่ระดับ Forward PE ต่ำเพียง 11.7 เท่า (-1.3 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต) จึงเป็นโอกาสในการซื้อ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ซบเซาลงมากเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนหน้านี้ (Valuation โดยรวมของหุ้นในตลาดฯทุกตัวถูก Discount ลงมา) เราจึงปรับลดเป้าหมาย Forward PE ลงเป็น 20 เท่า (-0.75เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต)จากเดิม 23 เท่า ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 5.25 บาท (เดิม 6 บาท)
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต Flexible packaging อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ