Talk of The Town
ลุ้นรมว.คลังคนใหม่ฟื้นกอง LTF โบรกชี้! เงินเข้าทุก 1 หมื่นลบ. หนุน SET 20 จุด แถมลดแรงขายจากสถาบัน-ชอร์ตเซล
08 พฤษภาคม 2567
จากประเด็นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง มีแผนการนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาหวังช่วยกระตุ้นตลาดหุ้น รวมถึงมาตรการควบคุมอื่นๆ หากการควบคุม ชอร์ตเซล และโปรแกรมเทรดยังไม่ดีขึ้น
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประเด็นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว. กระทรวงการคลัง มีแผนเรื่องการนำ LTF กลับมา เพื่อกระตุ้นให้ตลาดหุ้นคึกคัก
โดยประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET หากเกิดขึ้น จากโอกาสเห็นเม็ดเงินใหม่กลับมาหนุนตลาดเหมือนในอดีต จะช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่หนุน SET โดยทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้ามา จะส่งผลต่อ SET ราว +20 จุด และมองจิตวิทยาบวกต่อหุ้น SET50/100
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า ถ้ามี LTF กลับมาใหม่อีกครั้ง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินจะมีผลดีต่อตลาดหุ้นไทยใน หลากหลายมิติ ดังนี้
1. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันฯ มีโอกาสลดลง สังเกตได้จากหลังหมด LTF และ SSFX มาซักระยะนักลงทุนสถาบันฯ ก็เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค.64 – เม.ย.67 สถาบันฯ เป็นผู้ขายหุ้นไทยมากสุด - 1.5 แสนล้านบาท สูงกว่าต่างชาติ -1.03 แสนล้านบาท
2. หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า พอ LTF หมดลง ก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนตลาดฯ มีแต่เม็ดเงินที่ทยอยถอนออก (REDEEM) โดยก่อน LTF หมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี (ปลายปี 2562) ตอนนั้นมีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 4.06 แสนล้านบาท ค่อยๆ ถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 1.59 แสนล้านบาท กดดันตลาด และล่าสุด เม.ย. 67 เหลือมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ 2.47 แสนล้านบาท หากไม่มีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามาช่วยพยุง ตลาดหุ้นไทยก็จะถูกกดดันจากแรงขายในยอดเงินคงค้างต่อ
3. ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL หรือแรงกระทบจากปัจจัยภายนอก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงระยะสั้น แต่หากมีเม็ดเงิน LTF น่าจะเข้ามาช่วยพยุงในยามผันผวนระยะสั้นได้ เพราะผู้ลงทุน LTF จะหาจังหวะสะสมในช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา
4. คาดหวังเม็ดเงินจาก LTF ใหม่เข้ามาหนุนราว 6 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยปกติในอดีตจะมีเม็ดเงิน LTF ใหม่ไหลเข้าหุ้นไทยราว 6 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปี พร้อมกับช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น
5. หนุนสภาพคล่อง หรือ TURNOVER ในระบบให้สูงขึ้น โดยในอดีตช่วงมี LTF ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบัน TURNOVER เฉลี่ยเหลือเพียง 62.7%
หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณปกติ ที่ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี จะมีมูลค่าซื้อขายกลับไป 5.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน น่าจะเพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้
6. อาจจะแบ่งเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นเมืองนอกกลับมาบ้าง โดยล่าสุดฝ่ายวิจัยฯ รวบรวมข้อมูลเม็ดเงินกองทุนหุ้นในระบบ พบว่า เป็นเม็ดเงินในกองทุนหุ้นเมืองนอก (FIFEQ + RMFFIFEQ) สูงสุดถึง 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของกองทุนหุ้นทั้งหมด
ขณะที่เป็นเม็ดเงินจากกองทุน RMF หุ้นไทยเพียง 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 7% และกองทุน LTF เพียง 2.5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 15% เท่านั้น
ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา หากมีการฟื้น LTF กลับมา จะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลายมิติ ทั้งลดแรงขายจากทางสถาบันฯ, หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า, ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL, เพิ่มสภาพคล่องในระบบ และที่สำคัญหวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประเด็นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว. กระทรวงการคลัง มีแผนเรื่องการนำ LTF กลับมา เพื่อกระตุ้นให้ตลาดหุ้นคึกคัก
โดยประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET หากเกิดขึ้น จากโอกาสเห็นเม็ดเงินใหม่กลับมาหนุนตลาดเหมือนในอดีต จะช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่หนุน SET โดยทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้ามา จะส่งผลต่อ SET ราว +20 จุด และมองจิตวิทยาบวกต่อหุ้น SET50/100
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า ถ้ามี LTF กลับมาใหม่อีกครั้ง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินจะมีผลดีต่อตลาดหุ้นไทยใน หลากหลายมิติ ดังนี้
1. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันฯ มีโอกาสลดลง สังเกตได้จากหลังหมด LTF และ SSFX มาซักระยะนักลงทุนสถาบันฯ ก็เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค.64 – เม.ย.67 สถาบันฯ เป็นผู้ขายหุ้นไทยมากสุด - 1.5 แสนล้านบาท สูงกว่าต่างชาติ -1.03 แสนล้านบาท
2. หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า พอ LTF หมดลง ก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนตลาดฯ มีแต่เม็ดเงินที่ทยอยถอนออก (REDEEM) โดยก่อน LTF หมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี (ปลายปี 2562) ตอนนั้นมีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 4.06 แสนล้านบาท ค่อยๆ ถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 1.59 แสนล้านบาท กดดันตลาด และล่าสุด เม.ย. 67 เหลือมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ 2.47 แสนล้านบาท หากไม่มีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามาช่วยพยุง ตลาดหุ้นไทยก็จะถูกกดดันจากแรงขายในยอดเงินคงค้างต่อ
3. ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL หรือแรงกระทบจากปัจจัยภายนอก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงระยะสั้น แต่หากมีเม็ดเงิน LTF น่าจะเข้ามาช่วยพยุงในยามผันผวนระยะสั้นได้ เพราะผู้ลงทุน LTF จะหาจังหวะสะสมในช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา
4. คาดหวังเม็ดเงินจาก LTF ใหม่เข้ามาหนุนราว 6 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยปกติในอดีตจะมีเม็ดเงิน LTF ใหม่ไหลเข้าหุ้นไทยราว 6 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปี พร้อมกับช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น
5. หนุนสภาพคล่อง หรือ TURNOVER ในระบบให้สูงขึ้น โดยในอดีตช่วงมี LTF ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบัน TURNOVER เฉลี่ยเหลือเพียง 62.7%
หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณปกติ ที่ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี จะมีมูลค่าซื้อขายกลับไป 5.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน น่าจะเพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้
6. อาจจะแบ่งเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นเมืองนอกกลับมาบ้าง โดยล่าสุดฝ่ายวิจัยฯ รวบรวมข้อมูลเม็ดเงินกองทุนหุ้นในระบบ พบว่า เป็นเม็ดเงินในกองทุนหุ้นเมืองนอก (FIFEQ + RMFFIFEQ) สูงสุดถึง 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของกองทุนหุ้นทั้งหมด
ขณะที่เป็นเม็ดเงินจากกองทุน RMF หุ้นไทยเพียง 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 7% และกองทุน LTF เพียง 2.5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 15% เท่านั้น
ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา หากมีการฟื้น LTF กลับมา จะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลายมิติ ทั้งลดแรงขายจากทางสถาบันฯ, หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า, ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL, เพิ่มสภาพคล่องในระบบ และที่สำคัญหวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศ