กรุงเทพฯ - 7 พฤษภาคม 2567, มร. โรเบิร์ต โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2567 รวม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมีปัจจัยหลักมาจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น กำไรจากสต๊อกน้ำมันเนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าซื้อเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา”
สำหรับปริมาณน้ำมันดิบที่โรงกลั่นนำเข้ากลั่นในไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่ 167,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 96 ของกำลังการกลั่นทั้งหมด ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ค่าการกลั่นทางการตลาดในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 8.31 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 6.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 จากพรีเมียมน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ รวมถึง อัตรากําไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 มาเป็นยูโร 5 นอกจากนี้ SPRC มุ่งมั่นสร้างผลกำไรและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นภายใต้โครงการปรับปรุงผลกำไร (Bottom Line Improvement Program – BLIP) ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์ห่วงโซ่คุณค่าเพื่อเสริมสร้างการเติบโต ในทุกด้านภายหลังการผสานโรงกลั่นเข้ากับธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มรูปแบบ
“SPRC มุ่งมั่นที่จะดำเนินการด้านห่วงโซ่คุณค่าเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากลั่นน้ำมันอย่างเต็มประสิทธิภาพพร้อมกับเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพร้อมแข่งขันในตลาดและสร้างผลกำไรขององค์กร ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาส ทางธุรกิจในอนาคตเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นตลอดช่วงการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (Turnaround & Inspection – T&I) ในปี 2569 และอนาคตข้างหน้าต่อไป” มร. โดบริค กล่าวสรุป
สำหรับปริมาณน้ำมันดิบที่โรงกลั่นนำเข้ากลั่นในไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่ 167,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 96 ของกำลังการกลั่นทั้งหมด ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ค่าการกลั่นทางการตลาดในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 8.31 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 6.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 จากพรีเมียมน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ รวมถึง อัตรากําไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 มาเป็นยูโร 5 นอกจากนี้ SPRC มุ่งมั่นสร้างผลกำไรและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นภายใต้โครงการปรับปรุงผลกำไร (Bottom Line Improvement Program – BLIP) ควบคู่ไปกับการดำเนินกลยุทธ์ห่วงโซ่คุณค่าเพื่อเสริมสร้างการเติบโต ในทุกด้านภายหลังการผสานโรงกลั่นเข้ากับธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มรูปแบบ
“SPRC มุ่งมั่นที่จะดำเนินการด้านห่วงโซ่คุณค่าเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากลั่นน้ำมันอย่างเต็มประสิทธิภาพพร้อมกับเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพร้อมแข่งขันในตลาดและสร้างผลกำไรขององค์กร ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาส ทางธุรกิจในอนาคตเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นตลอดช่วงการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (Turnaround & Inspection – T&I) ในปี 2569 และอนาคตข้างหน้าต่อไป” มร. โดบริค กล่าวสรุป