Talk of The Town
JMT อาการหนัก ราคาหุ้นดิ่งต่อ พบต่ำสุดต่อเนื่องในรอบ 3 ปี โบรกฯ คาด Q1/67 กำไรอ่อนแอ
13 พฤษภาคม 2567
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น JMT หรือ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในรอบ 4 วันทำการ กว่า 14% โดยล่าสุดวันนี้ (13 พ.ค.67) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 17.90 บาทต่อหุ้น ลดลง 4.78%
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดกำไร 1067 ที่ 438 ล้านบาท อ่อนตัว 19% จากไตรมาสก่อน และ 3% จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่อ่อนแอในรอบหลายปี เนื่องจากคาดยอดจัดเก็บอ่อนตัวจากตามาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล และค่อนข้างทรงตัวจากปีก่อน
แม้ว่าจะมียอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อหนี้ในช่วงปีก่อนเข้ามาค่อนข้างมาก โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ชะลอตัวลง จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนลดลง โดยเฉพาะจากต้นทุนดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น
ขณะที่ยอดจัดเก็บที่ต่ำกว่าคาดทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูงขึ้นสะท้อนในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 35% จากไตรมาสก่อน และ 49% จากปีก่อน
ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (JK AMC) คาดว่าจะอ่อนตัวราว 8% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหลังยอดจัดเก็บมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/67 ที่อาจซะลอตัว และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้สามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวในระยะสั้น ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลงราว 16% จากประมาณการก่อนหน้า โดยคาดกำไรใหม่อยู่ที่ 2,007 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน
จากการปรับประมาณการ เราจึงประเมินราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 23 บาท อิง PBV 1.15 เท่าโดยธุรกิจปัจจุบันอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตอาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า
แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตได้ดีหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่ปัจจัยสำคัญ คือ ในสภาวะปัจจุบันยังไม่เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้น ทำให้มองว่าราคาหุ้นอาจยังไม่ฟื้นตัวระยะสั้นเช่นกัน เราจึงปรับคำแนะนำเป็น "ถือ"
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดกำไร 1067 ที่ 438 ล้านบาท อ่อนตัว 19% จากไตรมาสก่อน และ 3% จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่อ่อนแอในรอบหลายปี เนื่องจากคาดยอดจัดเก็บอ่อนตัวจากตามาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล และค่อนข้างทรงตัวจากปีก่อน
แม้ว่าจะมียอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อหนี้ในช่วงปีก่อนเข้ามาค่อนข้างมาก โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ชะลอตัวลง จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนลดลง โดยเฉพาะจากต้นทุนดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น
ขณะที่ยอดจัดเก็บที่ต่ำกว่าคาดทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูงขึ้นสะท้อนในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 35% จากไตรมาสก่อน และ 49% จากปีก่อน
ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (JK AMC) คาดว่าจะอ่อนตัวราว 8% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหลังยอดจัดเก็บมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/67 ที่อาจซะลอตัว และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้สามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวในระยะสั้น ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลงราว 16% จากประมาณการก่อนหน้า โดยคาดกำไรใหม่อยู่ที่ 2,007 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน
จากการปรับประมาณการ เราจึงประเมินราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 23 บาท อิง PBV 1.15 เท่าโดยธุรกิจปัจจุบันอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตอาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า
แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตได้ดีหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่ปัจจัยสำคัญ คือ ในสภาวะปัจจุบันยังไม่เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้น ทำให้มองว่าราคาหุ้นอาจยังไม่ฟื้นตัวระยะสั้นเช่นกัน เราจึงปรับคำแนะนำเป็น "ถือ"