จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : เทรนด์ “รถขนส่ง-รถโดยสาร”พลังงานสีเขียว หนุนยอดขายรถ EV ดันผลงาน NEX เติบโต


14 พฤษภาคม 2567
ความต้องการใช้รถโดยสาร  รถขนส่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดกำลังเป็นที่ต้องการของสังคม สะท้อนจากขสมก.ที่เร่งจัดหารถ ขสมก. EV ยกระดับคุณภาพการให้บริการ  สร้างโอกาสขยายตลาด ของบมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์แบบครบวงจรในประเทศไทย  

รายงานพิเศษ เทรนด์ “รถขนส่ง-รถโดยสาร”พลัง.jpg

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยกระดับคุณภาพการให้บริการรถโดยสาร โดยเริ่มจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด เพื่อต้องการยกระดับคุณภาพการให้บริการ โดย นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ระบุ ขสมก.ได้เริ่มดำเนินการจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการ 

โดยในระยะที่ 1 จะเช่ารถเพิ่ม 350 คัน คาดรับรถได้ในช่วง พ.ย.67 ส่วนระยะที่ 2 จะเช่ารถ EV เข้ามาอีก 1,520 คัน พร้อมรับรถในช่วง เม.ย.68  ดังนั้นจะมีจำนวนรถ EV เข้ามาใหม่รวม 1,870 คัน  เพื่อนำมาวิ่งให้บริการแทนรถโดยสารเดิมที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 30 ปี           

สำหรับระยะที่ 3 จะดำเนินการจัดหารถพลังงานสะอาดตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) จำนวน 1,520 คัน โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนเสนอบอร์ดขอรับทุน เพื่อว่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำรายงานการศึกษา PPP เบื้องต้นคาดว่าจะจัดหาผู้ร่วมลงทุน PPP พร้อมทยอยรับรถได้ในช่วงปลายปี 71 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ ระยะที่ 1, 2 และ 3 จะมีจำนวนรถรวม 3,390 คัน โดยแผนการจัดหารถโดยสารเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อต้องการให้ประชาชนมีรถโดยสารที่เพียงพอต่อการให้บริการ เนื่องด้วยประชาชนมีแนวโน้มที่จะใช้บริการเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันผู้โดยสารจะไม่ต้องรอรถเป็นเวลานานอีกต่อไป

นโยบายปรับเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาดของรัฐบาล สนับสนุนและสร้างโอกาสในการขยายตลาดของ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์แบบครบวงจรในประเทศไทย  

ซึ่ง นายคณิสสร์  ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567  บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,509 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 57.97 ล้านบาท  บริษัทฯ มีการส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ไปกว่า 591 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 563 คัน แบ่งเป็น รถเมล์ไฟฟ้า ขนาด 11 เมตร จำวน 94 คัน รถหัวลากไฟฟ้าจำนวน 171 คัน รถเมล์ ขนาด 8 เมตร จำนวน 230 และรถรุ่นอื่นๆ กว่า 96 คัน 

สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นอย่างมาก  เนื่องจากมีผลต่อการลดค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการส่งมอบรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปไปในอนาคต

ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทมาใช้บริการ รถไฟฟ้าอีวีต่อเนื่อง  อาทิ บริษัทในกลุ่ม PTTGC ,ทิปโก้แอสฟัลท์,บริษัท โลจิสติกส์ เอเชีย จำกัด ใช้ส่งสินค้าเครื่องดื่มและสินค้ากลุ่มFMCGให้ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด,บริษัท นิปปอน เอ็กซ์เพรส โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัท ซีว่า ลอจีสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (CEVA Logistics)เป็นต้น และยังมีการเจรจากับลูกค้าอีกหลายราย ที่สนใจใช้รถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี บริษัทฯยังเดินหน้าในการผลักดันยอดขายปีนี้คาดว่า จะส่งมอบรถไฟฟ้าให้ลูกค้าได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 คัน บริษัทฯยังมีโอกาสรับงานภาครัฐอีกด้วย

ขณะเดียวกันคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดEV)ได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus)และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck)เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการลดการปล่อยคาร์บอน มาตรการดังกล่าวจะอนุญาตให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล

สำหรับการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน โดยไม่กำหนดเพดานราคาขั้นสูง ในกรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้2เท่า และในกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้1.5เท่า ไม่จำกัดจำนวนคันและราคา ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการผลักดันยอดขายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากการผลักดันยอดขายในประเทศ ยังมีการขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ อย่างใน สปป.ลาว ที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนกระบวนการจัดการด้านโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ รวมไปถึง อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งมองว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแบรนด์รถEVของไทยให้ สามารถเติบโตได้ในตลาดต่างประเทศ และมั่นใจในศักยภาพความพร้อมเดินหน้าให้บริการอย่างเต็มกำลัง โดยปัจจุบันโรงประกอบยานยนต์ไฟฟ้ามีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 9,000 คันต่อปี ซึ่งจะพิจารณาการขยายกำลังการผลิตที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้รถยานยนต์ไฟฟ้า
NEX