จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : SPREME ฐานะการเงินแกร่ง ลุยขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต


14 พฤษภาคม 2567
รัฐบาลเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รองกับการเติบโตของกระแสดิจิทัล หนุนธุรกิจ บมจ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (SPREME) ขยายตัวโดดเด่น มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หลังเข้าระดมทุนผ่านตลาดหุ้น

รายงานพิเศษ SPREME ฐานะการเงินแกร่ง.jpg

รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศ เพื่อเป็นพื้นฐานรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลในอนาคต โดยตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้ดำเนินนโยบายสำคัญหลายประการ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับสถานะไทยในโลก 

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็กำลังขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ระยะที่ 2 ช่วงปี 67-70 เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังของ AI และการประมวลผลแบบคลาวด์ในประเทศ โดยดำเนินโครงการเสริมระบบนิเวศ AI ของไทย

การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาล สนับสนุนธุรกิจของบริษัทน้องใหม่ที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อต้นเดือนพ.ค. 67 ที่ผ่านมา บมจ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (SPREME)  ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเป็นผู้ออกแบบ ติดตั้ง และจัดจําหน่ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเครือข่าย อย่างครบวงจร (System Integrator) พร้อมทั้งให้บริการซ่อมแซมบำรุงรักษาและการให้เช่าอุปกรณ์ 

ซึ่งนายภานุวัฒน์  ขันธโมลีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SPREME ย้ำว่า ภายหลังเข้าตลาดหุ้น SPREME จะมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น บริษัทฯมุ่งมั่นเป็นผู้นำธุรกิจ System Integrator ที่เติบโตอย่างมั่นคง 

เราจะเดินตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ทั้งด้านการเข้าประมูลงานภาครัฐขนาดใหญ่มูลค่าโครงการมากกว่า 1,000 ล้านบาท และการทำ (M&A)  เพื่อต่อยอดธุรกิจ SI ที่เราเชี่ยวชาญ และต่อเนื่องไปยังธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เป็นธุรกิจเมกะเทรนด์เพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ขณะที่บริษัทจะมีฐานะการเงินและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำที่ 0.77 เท่า หลังจากไอพีโอแล้วจะลดเหลือประมาณ 0.34 เท่า ไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย และปัจจุบันบริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่กว่า 440 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567-2568" นายภานุวัฒน์ กล่าว

ด้าน บล.หยวนต้า แนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 3.93 บาท /หุ้น โดยระบุว่า Supreme เป็น SI ที่มีความชำนาญงานด้านการศึกษาของภาครัฐภายใต้ประสบการณ์กว่า 20 ปี โดยบริษัทมีธุรกิจเช่าอุปกรณ์เป็นธุรกิจเสริมต่อยอด
คาดกำไรปกติปี 2567-2568 ที่ 188 และ 214 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 20% และ 14% ตามลำดับ หนุนจากการเข้าประมูลงานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นและรับงานตรงเองมากขึ้น

ซึ่งเราประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.93 บาทต่อหุ้น อิง PER ที่ 15.5x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม SI ที่อิงภาครัฐ แต่รองรับด้วยการเติบโต 20% ในปี 2567 ทั้งนี้จุดเด่นของ Supreme อยู่ที่การฟื้นตัวของกำไรกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิด COVID-19 ตามการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐ และโอกาศต่อยอดธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมผ่านการ M&A หลังเข้าตลาด