บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) โตแกร่ง! โชว์งบไตรมาส 1/2567 รายได้ 563.50 ล้านบาทเพิ่มขึ้น10% กำไรสุทธิ 60.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.3% ฟากซีอีโอ “สมพล ธนาดำรงศักดิ์” ระบุรายได้บริษัทลูกในอินเดียพุ่ง 76.6% สู่ระดับ 92.4 ล้านรูปี ล่าสุดเดินกลยุทธ์เน้นบริหารต้นทุน และเพิ่มมาร์จิ้น ดันผลงานปีนี้เติบโตเข้าเป้าที่ระดับ 10% แตะ 3 พันล้านบาท
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567) มีรายได้รวม จำนวน 563.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ จำนวน 512.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 60.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ จำนวน 56.60 ล้านบาท หากดูกำไรของบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ ในไตรมาส 1 ซึ่งมียอดขาย 532.99 และกำไรสูงถึง 97.749 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18.34% แต่เนื่องจากการเข้านับตรวจสต๊อกสินค้าปลายปี เมื่อ 31 มีนาคม พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีต้นทุนสินค้าที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากยอดสต๊อกสินค้าตั้งแต่เริ่มกิจการ ดังนั้น ทางบริษัทจึงปรับยอดให้ตรงตามต้นทุนจริงกว่า 22 ล้านบาท ทำให้กำไรรวมของบริษัทฯ เหลือเพียง 60.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของยอดขายจากบริษัทลูกที่อินเดีย จำนวน 92.4 ล้านรูปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40.1 ล้านรูปี หรือ 76.6% โดยภาพรวมแม้ว่ายอดขายภายในประเทศ และประเทศในแถบแอฟริกาจะชลอตัวลง แต่ชดเชยด้วยยอดขายจากประเทศในกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มประเทศอื่นยังคงเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา
สาเหตุที่ยอดขายในประเทศไม่เป็นไปตามเป้า เกิดจากปัญหาข้อพิพาทในทะเลแดงตั้งแต่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นผลให้ค่าขนส่งในตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% และพื้นที่บริเวณทะเลแดงเพิ่มขึ้น400% เทศกาล Ramadan ระหว่าง 12 มีนาคม ถึง 20 เมษายน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 ตลอดจนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เน้นกลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้มาร์จิ้นปรับตัวสูงขึ้น และประเมินว่าภาพรวมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในปีนี้จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่คาดว่าปีนี้จะโต 3% เป็น 1.95 ล้านคัน
โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน พร้อมกับตั้งงบลงทุน 600 ล้านบาท ขยายธุรกิจในประเทศซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และประเทศไทย โดยจะใช้เงินลงทุนในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดเบอร์ 1 ของ FPI ประมาณ 200-300 ล้านบาท สำหรับเป็นศูนย์กลางการส่งออก (Export Hub) แห่งใหม่ในซาอุดีอาระเบีย ประกอบด้วยโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และศูนย์กระจายสินค้า เพิ่มการผลิตสินค้ารองรับตลาดตะวันออกกลาง และจะใช้เงินลงทุนในอินเดียประมาณ 100 ล้านบาท สำหรับการลงทุนโรงงานแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ และเครื่องจักร ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะใช้ลงทุนในประเทศไทย สำหรับขยายโรงงานแม่พิมพ์ และสร้างออฟฟิศใหม่
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567) มีรายได้รวม จำนวน 563.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ จำนวน 512.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 60.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ จำนวน 56.60 ล้านบาท หากดูกำไรของบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ ในไตรมาส 1 ซึ่งมียอดขาย 532.99 และกำไรสูงถึง 97.749 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18.34% แต่เนื่องจากการเข้านับตรวจสต๊อกสินค้าปลายปี เมื่อ 31 มีนาคม พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีต้นทุนสินค้าที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากยอดสต๊อกสินค้าตั้งแต่เริ่มกิจการ ดังนั้น ทางบริษัทจึงปรับยอดให้ตรงตามต้นทุนจริงกว่า 22 ล้านบาท ทำให้กำไรรวมของบริษัทฯ เหลือเพียง 60.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของยอดขายจากบริษัทลูกที่อินเดีย จำนวน 92.4 ล้านรูปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40.1 ล้านรูปี หรือ 76.6% โดยภาพรวมแม้ว่ายอดขายภายในประเทศ และประเทศในแถบแอฟริกาจะชลอตัวลง แต่ชดเชยด้วยยอดขายจากประเทศในกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มประเทศอื่นยังคงเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา
สาเหตุที่ยอดขายในประเทศไม่เป็นไปตามเป้า เกิดจากปัญหาข้อพิพาทในทะเลแดงตั้งแต่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นผลให้ค่าขนส่งในตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% และพื้นที่บริเวณทะเลแดงเพิ่มขึ้น400% เทศกาล Ramadan ระหว่าง 12 มีนาคม ถึง 20 เมษายน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 ตลอดจนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เน้นกลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้มาร์จิ้นปรับตัวสูงขึ้น และประเมินว่าภาพรวมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในปีนี้จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่คาดว่าปีนี้จะโต 3% เป็น 1.95 ล้านคัน
โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน พร้อมกับตั้งงบลงทุน 600 ล้านบาท ขยายธุรกิจในประเทศซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และประเทศไทย โดยจะใช้เงินลงทุนในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดเบอร์ 1 ของ FPI ประมาณ 200-300 ล้านบาท สำหรับเป็นศูนย์กลางการส่งออก (Export Hub) แห่งใหม่ในซาอุดีอาระเบีย ประกอบด้วยโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และศูนย์กระจายสินค้า เพิ่มการผลิตสินค้ารองรับตลาดตะวันออกกลาง และจะใช้เงินลงทุนในอินเดียประมาณ 100 ล้านบาท สำหรับการลงทุนโรงงานแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ และเครื่องจักร ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะใช้ลงทุนในประเทศไทย สำหรับขยายโรงงานแม่พิมพ์ และสร้างออฟฟิศใหม่