Talk of The Town

กลุ่มเจมาร์ทอาจไม่ถึงฝัน? เมื่อ “อดิศักดิ์” เคยลั่น ดันมาร์เก็ตแคป แตะ 5 แสนลบ. ในปี 67 แต่ตอนนี้เหลือแค่ 5 หมื่นล้านบาท!


16 พฤษภาคม 2567
ในช่วงที่ผ่านมา หากนักลงทุนยังจำได้ดี นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART  เคยลั่นวาจา ตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap) ของทั้งกลุ่ม เจมาร์ททั้งหมดรวมกันในปี 67 เพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 5 แสนล้านบาท โดยในช่วงนั้น Market Cap ทั้งกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท

TOT แนวนอน กลุ่มเจมาร์ทอาจไม่ถึงฝัน เมื่อ “อ_.jpg

แต่ดูเหมือนเส้นทาง กลุ่มเจมาร์ท ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะผลประกอบการในปี 2566 ไม่เป็นดังหวัง โดยงบการเงินของทั้ง JMART SINGER และSGC ที่พลิกเป็นขาดทุนอย่างหนักในปี 2566 โดยมีเพียงทาง JMT เท่านั้นที่มีกำไรสุทธิเติบโต

ในแง่ของราคาหุ้นเช่นกัน ปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง ซึ่งหากนับในช่วง 1 ปีย้อนหลัง พบว่า ราคาหุ้น JMT ลดลงกว่า 56% ตามด้วย SGC ลดลงกว่า  41% ขณะที่ JMART ลดลง 28% และ SINGER ลดลง 8%

หรือเส้นทางผลักดัน Market Cap ของทั้งกลุ่ม JMART ในปี 67 เพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 5 แสนล้านบาทนั้น จะเป็นความฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง? 
เพราะจากราคาหุ้นล่าสุด พบว่า Market Cap ของทั้งกลุ่ม รวมกันอยู่ที่ราว 5.7 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ถ้าจะถึงเป้าหมายราคาหุ้นต้องถึงขั้นบวกแรงแบบก้าวกระโดดอย่างมาก

[สำรวจผลประกอบการไตรมาสแรก]
อย่างไรก็ตามในแง่ของผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของทั้งกลุ่ม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะ JMART SINGER และ SGC พลิกมีกำไรสุทธิแล้ว แต่ JMT รายงานกำไรลดลงเหลือ 418 ล้านบาท 

โดย JMART รายงานไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 235.8 ล้านบาท เทียบปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 294.7 ล้านบาท ส่วน SINGER รายงานกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 843 ล้านบาท

ขณะที่ SGC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/67 มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 368 ล้านบาท และ JMT มีกำไรสุทธิ 418.3 ล้านบาท ลดลง 7.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

[นักวิเคราะห์แนะนำ “ขาย” JMT]
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมิน JMT โดยปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 16.40 บาท จากการปรับลดประมาณการกำไร และ de-rate PBV ลงสะท้อนความเสี่ยงในการซื้อหนี้เสียใหม่ลดลงและตั้งสำรองที่อาจมากกว่าคาด บริษัทรายงานกาไรสุทธิไตรมาส 1/67 ต่ำกว่าฝ่ายวิจัยคาดมาก

โดยมีความเสี่ยงต้องตั้งสำรองเพิ่ม ซึ่งปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ลง -17% เป็น 1.78 พันล้านบาท ลดลง 11% จากปีก่อน และปี 68 ลง -21% เป็น 1.96 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน จากการปรับเพิ่ม credit cost เพื่อสะท้อนการติดตามหนี้ที่ยังไม่ดีขึ้น 

ทั้งนี้ประเมินกำไรไตรมาส 2/67 จะยังไม่ดีตามภาวะเศรษฐกิจและวันหยุดที่มาก ทำให้ติดตามหนี้ได้น้อยลงและค่าใช้จ่ายสำรองจะยังทรงตัวสูง ส่วนราคาหุ้น underperform SET -25% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อการติดตามหนี้เสียที่ลดลงตามเศรษฐกิจ โดยปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากกำไรที่ขยายตัวต่ำและแนวโน้มการซื้อหนี้เสียใหม่ลดลงหลังใช้ responsible lending และบริษัทจะต้องสำรองเงินสดสำหรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี เดือน ก.ย. และ พ.ย. 67 อีก 1.6 พันล้านบาท

ขณะที่ SINGER นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มอง Negative ต่อกำไรสุทธิไตรมาส1/67 ที่ 20 ล้านบาท จากขาดทุนในไตรมาส 1/66 และ เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน แม้ว่ากำไร สุทธิจะปรับตัวขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน แต่ปัจจัยหลักมาจากการกลับรายการด้อยค่าสินค้าคงเหลือ ขณะที่ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังอ่อนแอ NPL ratio ปรับตัวขึ้นจาก 20.9% ในไตรมาสก่อน เป็น 22.3% 

ดังนั้นคาดว่าในระยะสั้นบริษัทยังคงต้องเน้นเรื่องการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้การเติบโตยังทำได้ยาก เชิงกลยุทธ์ยังแนะนำเลี่ยงการลงทุน โดยมองหุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจสุดคือ JMT