บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (JUBILE) ผู้นำธุรกิจเครื่องประดับเพชรอันดับหนึ่งของเมืองไทย ภายใต้แบรนด์ “ยูบิลลี่ ไดมอนด์” เพชรแท้คุณภาพระดับ World class โชว์สตรองผลประกอบการปี 2565 เติบโตแกร่งทำสถิติใหม่ในประวัติการณ์ด้วยด้วยกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท เติบโต 38% หลังเดินเกมรุกการตลาดด้านกลยุทธ์ Customer Centric ผสานแนวคิด Digital Transformation นำเทคโนโลยีปรับใช้สร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับธุรกิจ พร้อมดึงเทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ชี้ปี 2566 เดินเกมรุกธุรกิจเพชรอย่างต่อเนื่อง โชว์ความแข็งแกร่งหลังภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ตั้งเป้าการเติบโตปี 2566 10%
นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Jubilee (ชื่อหุ้น: JUBILE) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ถือเป็นปีที่ Jubilee เดินเกมรุกธุรกิจในการนำกลยุทธ์ Customer Centric ผสานกับแนวคิด Digital Transformation โดยการนำเอาเทคโนโลยีอย่าง AI หรือ Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในกระบวนการทำงานและจัดการกับ Data Management ที่ได้จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าตัวจริง จากฐานข้อมูลลูกค้าสมาชิกปัจจุบันมากกว่า 200,000 ราย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยและพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น ทั้งกิจกรรมการตลาดรูปแบบออนไลน์ออฟไลน์ รวมถึงการเปิดตัว The New Sparking Club โฉมใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภค
โดยผลการดำเนินการในปี 2565 Jubilee สามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างโดดเด่น สร้างรายได้เติบโตได้มากกว่าเป้าหมาย และรักษาเป้าหมายกำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 45% ทำให้กำไรสุทธิปี 2565 เติบโตสร้างสถิติสูงสุดในประวัติการณ์อยู่ที่ 311 ล้านบาท เติบโต 38% และมียอดขายสูงถึง 1,786 ล้านบาท เติบโต 17% เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นผลจากการยกระดับกลยุทธ์ Customer Centric โดยยึดความต้องการและการสร้างประสบการณ์พิเศษที่สุดให้กับลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงาน ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี 2565 แม้จะมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจที่ยังผันผวนจากสภาวะเงินเฟ้อ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาสูง แต่ด้วยบรรยากาศของช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี รวมถึงการจัดงานอีเว้นท์ของ Jubilee ทำให้แนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Jubilee สามารถสร้างยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2565 ได้ 475 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 78 ล้านบาท
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.73 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 127.2 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเป็นจำนวน 0.38 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดให้วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 เป็นวันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผลส่วนที่เหลือ 0.35 บาทต่อหุ้น และกำหนดจ่ายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 ซึ่งบริษัทจะนำเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไปสำหรับปี 2566 Jubilee ยังคงมุ่งเน้นในการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการบริหารรวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าทั้งฐานสมาชิก The Sparkling Club และการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งเพิ่มฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกด้วย เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เติบโตขึ้นและส่งผลต่อการเติบโตในผลประกอบการของบริษัทฯ โดยในปี 2566 เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมาย แม้ยังมีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ด้วยนโยบายจากภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ของโครงการช้อปดีมีคืนที่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีในปี 2566 ประกอบกับการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่รับเทศกาลต้นปีอย่าง เทศกาลตรุษจีน และเทศกาลแห่งความรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดี นอกจากนี้ Jubilee ถือเป็นผู้นำตลาดเครื่องประดับเพชรในการทำโปรโมชันซื้อเพชรชำระผ่านบัตรเครดิตที่สร้างความสะดวกให้กับลูกค้า ตอบโจทย์เทรนด์ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการทำกิจกรรมแคมเปญการตลาดที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในทุก ๆ ไตรมาส ทำให้ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 10%
“สิ่งที่ทำให้ Jubilee สามารถก้าวสู่ปีที่ 94 และสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เกิดจากความมุ่งมั่นมองหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำความรู้จักและรู้ใจลูกค้าผ่านการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และขยายผลเป็นกิจกรรมการตลาด พร้อมพัฒนาสินค้าที่ตรงใจลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง เข้ามาเป็นหัวใจของการทำตลาดที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างประโยชน์อย่างสูงสุดจากข้อมูลที่มี ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงในทุกกระบวนการของบริษัท ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า นำพาองค์กรสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต” นางสาวอัญรัตน์ กล่าวสรุป
นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Jubilee (ชื่อหุ้น: JUBILE) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ถือเป็นปีที่ Jubilee เดินเกมรุกธุรกิจในการนำกลยุทธ์ Customer Centric ผสานกับแนวคิด Digital Transformation โดยการนำเอาเทคโนโลยีอย่าง AI หรือ Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในกระบวนการทำงานและจัดการกับ Data Management ที่ได้จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าตัวจริง จากฐานข้อมูลลูกค้าสมาชิกปัจจุบันมากกว่า 200,000 ราย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยและพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น ทั้งกิจกรรมการตลาดรูปแบบออนไลน์ออฟไลน์ รวมถึงการเปิดตัว The New Sparking Club โฉมใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภค
โดยผลการดำเนินการในปี 2565 Jubilee สามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างโดดเด่น สร้างรายได้เติบโตได้มากกว่าเป้าหมาย และรักษาเป้าหมายกำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 45% ทำให้กำไรสุทธิปี 2565 เติบโตสร้างสถิติสูงสุดในประวัติการณ์อยู่ที่ 311 ล้านบาท เติบโต 38% และมียอดขายสูงถึง 1,786 ล้านบาท เติบโต 17% เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นผลจากการยกระดับกลยุทธ์ Customer Centric โดยยึดความต้องการและการสร้างประสบการณ์พิเศษที่สุดให้กับลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงาน ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี 2565 แม้จะมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจที่ยังผันผวนจากสภาวะเงินเฟ้อ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาสูง แต่ด้วยบรรยากาศของช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี รวมถึงการจัดงานอีเว้นท์ของ Jubilee ทำให้แนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Jubilee สามารถสร้างยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2565 ได้ 475 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 78 ล้านบาท
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.73 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 127.2 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเป็นจำนวน 0.38 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดให้วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 เป็นวันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผลส่วนที่เหลือ 0.35 บาทต่อหุ้น และกำหนดจ่ายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 ซึ่งบริษัทจะนำเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไปสำหรับปี 2566 Jubilee ยังคงมุ่งเน้นในการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการบริหารรวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้าทั้งฐานสมาชิก The Sparkling Club และการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งเพิ่มฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกด้วย เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เติบโตขึ้นและส่งผลต่อการเติบโตในผลประกอบการของบริษัทฯ โดยในปี 2566 เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมาย แม้ยังมีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ด้วยนโยบายจากภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ของโครงการช้อปดีมีคืนที่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีในปี 2566 ประกอบกับการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่รับเทศกาลต้นปีอย่าง เทศกาลตรุษจีน และเทศกาลแห่งความรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดี นอกจากนี้ Jubilee ถือเป็นผู้นำตลาดเครื่องประดับเพชรในการทำโปรโมชันซื้อเพชรชำระผ่านบัตรเครดิตที่สร้างความสะดวกให้กับลูกค้า ตอบโจทย์เทรนด์ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการทำกิจกรรมแคมเปญการตลาดที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในทุก ๆ ไตรมาส ทำให้ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 10%
“สิ่งที่ทำให้ Jubilee สามารถก้าวสู่ปีที่ 94 และสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เกิดจากความมุ่งมั่นมองหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำความรู้จักและรู้ใจลูกค้าผ่านการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และขยายผลเป็นกิจกรรมการตลาด พร้อมพัฒนาสินค้าที่ตรงใจลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง เข้ามาเป็นหัวใจของการทำตลาดที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างประโยชน์อย่างสูงสุดจากข้อมูลที่มี ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงในทุกกระบวนการของบริษัท ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า นำพาองค์กรสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต” นางสาวอัญรัตน์ กล่าวสรุป