Talk of The Town

ส่องแนวโน้มการเติบโต 3 หุ้น “ปั๊มน้ำมัน” รายใหญ่ของไทย


27 พฤษภาคม 2567
หุ้นปั๊มน้ำมันยังถือเป็นอีกกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรไตรมาส 2 OR อาจทำได้แค่ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะธุรกิจ Lifestyle ที่การท่องเที่ยวเติบโต หนุนกำไร มาชดเชยกับ กำไรของฝั่ง Mobility ที่ปริมาณขายน้ำมันลดลง

ขณะที่ BCP นักวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 2/67 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ แรงหนุนของ BSRC (ช่วงเดียวกันของปีก่อนยังไม่มี ) และ ธุรกิจ OKEA

ส่วน PTG ก็โดดเด่นเช่นกัน มีการคาดการณ์ว่าไตรมาส 2 กำไรมีโอกาสเติบโตเกิน 50% เนื่องจาก ค่าการตลาดน้ำมันดีขึ้น และ ปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น  

TOT แนวนอน 3 หุ้น “ปั๊มน้ำมัน” รายใหญ่ของไทย.jpg

โดย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ล่าสุดไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 3,723 ล้านบาท โต 25% หลังราคาขายน้ำมันเพิ่มขึ้น และมียอดขายจาก Café Amazon ได้กว่า 99 ล้านแก้ว โดยบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันรวม 2,262 แห่ง มี Cafe Amazon รวม 4,221 แห่ง

ทั้งนี้ไตรมาส 1/67 Cafe Amazon ในประเทศไทย 4,196 สาขา จำแนกเป็น สาขาในสถานีบริการ 2,248 สาขา และนอกสถานีบริการ 1,948 สาขา รวมทั้งมี Cafe Amazonในต่างประเทศ จำนวน 25 สาขา ขณะที่ร้านเท็กซัส ชิคเก้น มีเครือข่าย 101 สาขา 

สำหรับร้านอาหารและ เครื่องดื่มอื่นมีเครือข่าย 125 สาขา ได้แก่ เพิร์ลลี่ทีและ Pacamara Coffee Roasters สำหรับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ มีร้านสะดวกซื้อภายใต้ แบรนด์ 7-Eleven และภายใต้แบรนด์ จิฟฟี่ ในประเทศไทย 2,241 สาขา

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 21.5 บาท/หุ้น หากรับความเสี่ยง overhang regulatory (คุมค่าการตลาด) ได้ มองสามารถซื้อเก็งกำไร

1.ผลกระทบน้ำมันดีเซลยูโร 5 ที่น้อยกว่ากลุ่ม 

2.แรงกดดันเงินกองทุนเชื้อเพลิงฯ ที่ลดลงหลังรัฐปรับเพดานราคาดีเซลและต้นทุนน้ำมันมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น และ3.ไตรมาส 2/67 อาจมี upside ได้หากบริษัทบริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่าคาดอีกครั้ง

ดังนั้นคงมุมมองกำไรปกติไตรมาส 2/67 ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน โดยการทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ธุรกิจ Lifestyle ที่การท่องเที่ยวเติบโต หนุนกำไร มาชดเชยกับ กำไรของฝั่ง Mobility ที่ปริมาณขายน้ำมันลดลง จากการแข่งขันที่สูงขึ้น 

ส่วนลดลง จากไตรมาสก่อน เพราะ ธุรกิจ Mobility คาด GM ลดเป็นราว 0.9 บาท/ลิตร ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 20% จากไตรมาสก่อน ตรึงราคาหน้าปั๊มช่วงวันหยุดยาว และราคาน้ำมันผันผวนทำให้จัดการต้นทุนได้น้อยลง (ค่าการตลาดรวม EPPO นับจากต้นไตรมาส 2/67 ถึงปัจจุบัน อยู่ที่ราว 2.37 บาท/ลิตร) โดยประเมินทั้งปี 2567 จะมีกำไรสุทธิ 11,852 ล้านบาท เติบโต 6.8%

ต่อกันที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ไตรมาส 1/67 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 135,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  68% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 มีกำไร 2,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อน มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม 2,217 สถานีทั่วประเทศ มีร้านกาแฟ (Inthanin) 1,003 สาขา

ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 55 บาท โดยคงมุมมอง กำไรปกติไตรมาส 2/67 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน โดนการเติบโต เพราะ แรงหนุนของ BSRC (ช่วงเดียวกันของปีก่อนยังไม่มี ) และ ธุรกิจ OKEA ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 54% จากแหล่งใหม่ 

ส่วนลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะ supply น้ำมันออกมาเพิ่ม จากทั้ง โรงกลั่นใหม่ และโรงกลั่นรัสเซียทยอยกลับมาฉุดค่าการกลั่น รวมถึงโรงกลั่นพระโขนงมีปิดซ่อม และ OKEA ปริมาณขาย ลดลง 25% จากไตรมาสก่อน แหล่งผลิตบางส่วนปิดซ่อม และราคาก๊าซฯลดลง หลังผ่านฤดูหนาว โดยคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 9,324 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน

ด้านบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 264 ล้านบาท ลดลง 7.1% และมีรายได้รวมเท่ากับ 54,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสถานีบริการน้ำมันรวม  2,199 สาขา

ในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 2,211 สาขา อาทิ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 947 สาขา ธุรกิจก๊าซ LPG จำนวน 590  สาขา ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ 28 สาขา ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 355 สาขา เป็นต้น 

ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ PTG โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 10.40 บาท คาดว่ากำไรในไตรมาส 2/67 จะโตเกิน 50% ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน 

โดยคาดว่ากำไรของ PTG ในไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน  เนื่องจาก ค่าการตลาดน้ำมันดีขึ้น และ ปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานอนุญาตให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไทยเป็น 31.94 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 2.00 บาท/ลิตร จากเมื่อเดือนมีนาคม เนื่องจากผลขาดทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจนทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน และขึ้นไปจนเกือบถึงระดับสูงสุดเดิมที่ 1.314 แสนล้านบาทเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.109 แสนล้านบาท) 

การที่ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขยับสูงขึ้นส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลดีขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันของ PTG ในไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.75 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13%จากไตรมาสก่อน สอดคล้องกับมุมมองของผู้บริหารที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร สำหรับช่วงไตรมาส 2/67 ถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าปริมาณยอดขายน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 12%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และน่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/67 เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยวของไทย นอกจากนี้ ยังคาดว่ากำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณยอดขาย LPG และกาแฟเพิ่มขึ้น ดังนั้นคาดว่าปี 2567 จะมีกำไรสุทธิ 1,152 ล้านบาท เติบโต 22% จากปีก่อน


ส่องแนวโน้มการเติบโต 3 หุ้น “ปั๊มน้ำมัน” รา.jpg