Talk of The Town

ส่องแนวโน้ม 7 หุ้นบิ๊กแคป ผลงานไตรมาส 2 โตต่อเนื่อง


30 พฤษภาคม 2567

ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนต่อเนื่อง ท่ามกลางปัจจัยกดดันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวในกรอบ หลังยังขาดปัจจัยใหม่ แต่ไตรมาส 2/67 คาดผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียนไทยจะเติบโตดีขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของ SET Index ในระยะถัดไปได้

ส่องแนวโน้ม 7 หุ้นบิ๊กแคป copy.jpg

ดังนั้นทีมข่าว Share2Trade จึงได้รวบรวมหุ้นใหญ่ ที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/67 เติบโตอย่างต่อเนื่องมาฝากนักลงทุน ผ่านการประเมินของนักวิเคราะห์ชั้นนำของไทย

จากการสำรวจข้อมูลพบว่า PTTEP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า 

โมเมนตัมกำไรปกติไตรมาส 2/67 เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายคาดเพิ่มขึ้นเป็น 5.14 แสนบาร์เรล ทำระดับสูงสุดใหม่ และราคาขายสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ

โดย คงประมาณการกาไรสุทธิปี 2567 ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท เติบโต 3% จากปีก่อน อ้างอิงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 82 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลต่อกำไร 1 พันล้านบาท และราคาเหมาะสม 0.90 บาท/หุ้น แนะนา TRADING ราคาเป้าหมาย 172 บาท

ต่อกันที่ ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดว่าไตรมาส 2/67 กำไรของ ADVANC จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่กำไรไตรมาส 1/67 ที่แข็งแกร่งหนุนให้ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ของ ADVANC เพิ่มขึ้น 7% สู่ 3.16 หมื่นล้านบาท เติบโต 10.9% จากปีก่อน หลังจากปรับประมาณการค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง 10% สู่ 2.54 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก synergy ด้านต้นทุนเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด และยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้จากการให้บริการหลักไว้ที่ 14.2% เทียบกับเป้าของผู้บริหารที่ 13-15%

ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำ ขึ้นสู่ OUTPERFORM (จาก NEUTRAL) และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นสู่ 260 บาท จากเดิมที่ระดับ 246 บาท

ต่อกันที่ CPALL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินแนวโน้มไตรมาส 2/67 คาดกำไรปกติเติบโตจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก SSSG ที่เติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐช่วงปลายไตรมาส และอานิสงค์จากอากาศร้อนกว่าปกติส่งผลให้คนเข้ามาซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าคลายร้อน ช่วยเพิ่ม Traffic ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) และแรงกดดันต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยจะลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อน แต่จากแนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 2/67 ที่คาดเติบโตจากไตรมาสก่อน และจะเด่นมากขึ้นในครึ่งหลังปี 67 ที่มีโอกาสเติบโตจากครึ่งปีแรก ทำให้ประมาณการของฝ่ายวิจัย และตลาดมี Upside Risk แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 76 บาท

ขณะที่ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินไตรมาส 2/67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส หนุนจากการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง phase 1 กำลังการผลิต 377.3 MWe (COD 1 มี.ค. 2567) ได้เต็มที่ทั้งไตรมาส อีกทั้งจะเริ่มรับรู้โครงการ GPD phase 3 463.8 MWe (COD 1 เม.ย. 2567) ได้ในไตรมาสแรก 

ประกอบกับต้นทุนก๊าซเฉลี่ยในงวดไตรมาส 2/67 ที่คาดจะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ขณะที่ค่า Ft ในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2567 ยังสามารถตรึงไว้ได้ในระดับเดิม หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ถึงแม้คาดว่าจะมีแรงกดดันบางส่วนจากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งในประเทศไทย และเยอรมนีที่อ่อนตัวลงตามช่วงฤดูกาลก็ตาม

ดังนั้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน  คำแนะนำ OUTPERFORM เน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว ให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 56 บาท 

ถัดมา BDMS นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรหลักไตรมาส 2/67 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหนุนโดยผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รายได้ธุรกิจการแพทย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้คาด BDMS จะรายงานกำไรหลักทาสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในปี 2567 ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากรายได้ธุรกิจการแพทย์ที่เติบโต 8% และความสามารถในการรักษาอัตรากำไรหลักในระดับสูงที่14.8% คาดผู้ป่วยชาวต่างชาติจะโตมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยชาวจีนซึ่งสอดคล้องกับข้อจำกัดการเดินทางในระดับภูมิภาคและข้อกำหนดการกักกันที่ผ่อนคลายลง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท

ในฝั่งของธนาคารรายใหญ่ที่มีมูลค่ามาเก็ตแคประดับสูงอย่าง SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิของ SCB ในไตรมาส 2/67 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน 

หนุนจากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง หลังเร่ง Write-Off ลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงสูงของ CardX ไปมาก และปัจจุบัน NPL Ratio ของ SCB ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัวที่ 3.9% ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/66 

นอกจากนี้คาดจะเริ่มเห็นการขยายสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจ Consumer Finance มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่มีการเร่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ (ปัจจุบันมีจำนวน 2 พันสาขา) หนุนให้คาดทั้งปี 2567 SCB จะมีกำไรสุทธิ 46,037 ล้านบาท โต 5.8%  จากไตรมาสก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 128 บาท และคาดให้ Div. Yield สูงถึง 9.2%

ปิดท้ายที่ KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 2/67 กำไรสุทธิของ KBANK จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเทียบไตรมาสก่อนคาดขยับขึ้นต่อเล็กน้อย แม้มีผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเริ่มขยับขึ้น แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่ทยอยผ่อนคลายลง 

และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ และรายได้เงินปันผลรับของพอร์ตเงินลงทุน ส่วนทั้งปี 2567 คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิ 46,390 ล้านบาท เติบโต 9.4%จากปีก่อน

โดยมอง KBANK มีความน่าสนใจมากขึ้น หลังคุณภาพสินทรัพย์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 

162 บาท และคาดให้ Div. Yield อีก 5.5% 

ส่องแนวโน้ม 7 หุ้นบิ๊กแคป 1-1 copy.jpg