Talk of The Town
ตลาดหุ้นไทยวังวนไม่พ้นเสี่ยงการเมือง เปิด 2 สมมติฐานนายกฯพ้น-ไม่พ้นตำแหน่ง SET Index เสี่ยงหลุด 1,300 ลุ้นเหนือ 1,400
07 มิถุนายน 2567
ตลาดหุ้นไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง ยิ่งเข้าเดือนมิถุนายน ถือเป็นการนับถอยหลัง เข้า “จุดเสี่ยง” ที่บรรยากาศความไม่แน่นอนทางการเมือง เริ่มกลับเข้ามากดดัน Sentiment ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เนื่องจากจะมี 3 ปัจจัยใหญ่ทางการเมืองที่อาจส่งผลเปลี่ยนแปลงถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้
โดยทั้ง 3 ปัจจัยประกอบไปด้วย 1) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกล กรณีเสนอแก้ไข ม.112 2) ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กรณีคำร้องของ 40 ส.ว.3) อัยการเตรียมส่งฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในคดีความผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผ่ามุมมองและผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย โดยให้น้ำหนักกับประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ผ่าน 2 สมมติฐาน
1) หากนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ทางฝ่ายประเมินว่าดัชนี SET Index ในช่วงต้นอาจจะมี Sharply Dip ลงไปแตะแถว 1280-1290 จุดได้ แนะนำลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอกและหุ้นในกลุ่ม Defensive
2) หากนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง คาดว่าความกดดันปัจจัยการเมืองจะคลี่คลายในระยะสั้น ส่งผลให้ SET Index รีบาวด์ไปทดสอบแนวต้านแถว 1385-1400 จุด แนะนำลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ
สอดคล้องกับมุมมอง บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย. 2567 คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวผันผวนไปกับพัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ซึ่งในเดือนนี้จะมี 3 เหตุการณ์ที่สำคัญได้แก่
1.การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ (อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา)
2.การพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน โดยศาลรัฐธรรมนูญ (อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา) และ 3.การที่สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ผิด ม.112 และมีการนัดส่งฟ้องศาลในวันที่ 18 มิ.ย.นี้
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนที่ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นในกรอบ 1,340-1,350 จุดในช่วงปลายเดือนก่อนตามที่เราแนะนำ สามารถถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวไว้ได้”
“ถ้าหากเกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองในเดือนนี้จนเกิดภาวะ Political discount ประเมินแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดในเดือนนี้ได้แก่บริเวณดัชนี 1,300 จุด ซึ่งแนะนำใช้เป็นบริเวณแนวรับถัดไป ”
อย่างไรก็ตาม หากตัดปัจจัยการเมืองออกไป จะพบว่าปัจจัยพื้นฐานล่าสุดของตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางไหนที่สำคัญ
โดยประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังคงทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน เมื่อมาประกอบกับมาตรการ Uptick rule ที่คาดว่าจะถูกบังคับใช้ได้ในเดือนนี้ ทำให้ประเมิน Downside ของ SET Index ณ ปัจจุบันเริ่มอยู่ในกรอบจำกัด
ประเมินกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ สำหรับพอร์ตที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่บริเวณแนวรับดัชนี ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50/SET100 และ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ เลือก BJC 2.กลุ่ม Defensive เช่นโรงพยาบาล เพื่อป้องกันความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยการเมืองในประเทศ อาทิ BDMS, BCH, CHG 3.กลุ่มส่งออกที่ยังคงปรับตัว Laggard ได้แก่ COCOCO, MALEE, PLUS และ TU
ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในวังวนของปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดที่ล้าหลัง หรือ Laggard เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่ทะยานขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ รอความหวังการฟื้นชีพกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่อยู่ระหว่างการปัดฝุ่น ให้กลับมาฟื้นตลาดหุ้นไทยรับแรงกระแทกการถล่มขายของต่างชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทยในระยะยาว
โดยทั้ง 3 ปัจจัยประกอบไปด้วย 1) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกล กรณีเสนอแก้ไข ม.112 2) ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กรณีคำร้องของ 40 ส.ว.3) อัยการเตรียมส่งฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในคดีความผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผ่ามุมมองและผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย โดยให้น้ำหนักกับประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ผ่าน 2 สมมติฐาน
1) หากนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ทางฝ่ายประเมินว่าดัชนี SET Index ในช่วงต้นอาจจะมี Sharply Dip ลงไปแตะแถว 1280-1290 จุดได้ แนะนำลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอกและหุ้นในกลุ่ม Defensive
2) หากนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง คาดว่าความกดดันปัจจัยการเมืองจะคลี่คลายในระยะสั้น ส่งผลให้ SET Index รีบาวด์ไปทดสอบแนวต้านแถว 1385-1400 จุด แนะนำลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ
สอดคล้องกับมุมมอง บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย. 2567 คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวผันผวนไปกับพัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ซึ่งในเดือนนี้จะมี 3 เหตุการณ์ที่สำคัญได้แก่
1.การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ (อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา)
2.การพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน โดยศาลรัฐธรรมนูญ (อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา) และ 3.การที่สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ผิด ม.112 และมีการนัดส่งฟ้องศาลในวันที่ 18 มิ.ย.นี้
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนที่ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นในกรอบ 1,340-1,350 จุดในช่วงปลายเดือนก่อนตามที่เราแนะนำ สามารถถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวไว้ได้”
“ถ้าหากเกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองในเดือนนี้จนเกิดภาวะ Political discount ประเมินแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดในเดือนนี้ได้แก่บริเวณดัชนี 1,300 จุด ซึ่งแนะนำใช้เป็นบริเวณแนวรับถัดไป ”
อย่างไรก็ตาม หากตัดปัจจัยการเมืองออกไป จะพบว่าปัจจัยพื้นฐานล่าสุดของตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางไหนที่สำคัญ
โดยประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังคงทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน เมื่อมาประกอบกับมาตรการ Uptick rule ที่คาดว่าจะถูกบังคับใช้ได้ในเดือนนี้ ทำให้ประเมิน Downside ของ SET Index ณ ปัจจุบันเริ่มอยู่ในกรอบจำกัด
ประเมินกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ สำหรับพอร์ตที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่บริเวณแนวรับดัชนี ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50/SET100 และ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ เลือก BJC 2.กลุ่ม Defensive เช่นโรงพยาบาล เพื่อป้องกันความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยการเมืองในประเทศ อาทิ BDMS, BCH, CHG 3.กลุ่มส่งออกที่ยังคงปรับตัว Laggard ได้แก่ COCOCO, MALEE, PLUS และ TU
ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในวังวนของปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดที่ล้าหลัง หรือ Laggard เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่ทะยานขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ รอความหวังการฟื้นชีพกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่อยู่ระหว่างการปัดฝุ่น ให้กลับมาฟื้นตลาดหุ้นไทยรับแรงกระแทกการถล่มขายของต่างชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทยในระยะยาว