จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : TIDLOR อนาคตแกร่ง “ทริสคงเรตติ้ง - ปรับเป็น Holding”


10 มิถุนายน 2567
การประกาศคงอันดับเรตติ้ง บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ของบริษัท ทริสเรทติ้งที่ "A/Stable" (คงที่) สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัท ในสถานะผู้นำตลาดสินเชื่อทะเบียนรถ และการที่บริษัทเตรียมปรับฐานะเป็น Holding company  ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น ส่งผลต่อต่อการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน 

รายงานพิเศษ TIDLOR copy.jpg

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิต บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ที่ "A/Stable" (คงที่) โดยมีมุมมองว่า อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบในทันทีจากการประกาศปรับโครงสร้างองค์กรและการถือหุ้น โดยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" 

อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริส เรทติ้ง ว่า บริษัทจะยังคงรักษาฐานทุนที่แข็งแกร่งและสถานะผู้นำในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถ และยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่า บริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ 

ซึ่งนายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR กล่าวว่า การที่บริษัทฯ ได้รับการคงอันดับเครดิต ถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพราะส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทในการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ ซึ่งอันดับเครดิตที่ A จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade ที่นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ให้ความสนใจและสามารถลงทุนได้ และยังสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ดี 

ขณะที่องค์กรที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ดีกว่าจะมีแนวโน้มที่จะออกตราสารหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจโตช้ากว่า ส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ภาวะดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่ง บมจ.เงินติดล้อ ได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)วิเคราะห์หุ้น TIDLOR โดยระบุว่า แม้ NPL ratio จะปรับสูงขึ้นในไตรมาส 1/67 แต่บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในปี 67 แต่ได้แสดงความกังวลต่อสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกที่ยังผันผวนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ล่าช้า ส่วนสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ค่อนข้างจะทรงตัวแล้ว 

TIDLOR มีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้ายังต่ำกว่าเพดานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเรามองว่า จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) เริ่มทรงตัวได้มากขึ้นในครึ่งหลังปี 67

เป้าหมายทางการเงินในปี 2567

1. สินเชื่อเติบโต 10-20%  เน้นการเติบโตจากสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก

2. Non-Life insurance premium โต 10-20%

3. Cost to income ratio  ที่ราว 55%

4. NPL ratio ที่ 1.4-1.8% และอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 3.0-3.35% 

5. เปิดสาขาใหม่เพิ่ม 100 แห่ง

นอกจากนี้บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างเป็นบริษัทลงทุน(Holding Company) จะทำให้

1. การบริหารจัดการมีความคล่องตัว

2. ใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

3. ประสานการทำธุรกิจระหว่างบริษัทในกลุ่มบริษัทเพื่อให้เกิด Synergy

4. สร้างมูลค่าเพิ่มแก่กลุ่มบริษัท

5. ช่วยต่อยอดธุรกิจการลงทุนในธุรกิจใหม่สร้างการเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่า แผนการปรับโครงสร้างธุรกิจจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/67

ทั้งนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตสูงขึ้นที่ 19.1%/16.7% ในปี 67-68 (66 +4.1%) หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวจากสินเชื่อเติบโต และรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตจากธุรกิจนายหน้าธุรกิจประกันวินาศภัยสูงขึ้นเราสมมติฐาน Credit costs ที่ 335 bps  ซึ่งทุกๆ10 bps ของ credit cost ที่ลดลงจะส่งผลต่อกำไรสุทธิของ TIDLOR เพิ่มขึ้นราว 2% จากการประมาณการกำไรสุทธิในปี 2024 ของเราที่ 4.5 พันล้านบาท 

จึงคงนำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 27  บาท โดยคำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 15%,TG 5%) อิงจาก 2.4 เท่า PBV 24E และ 17.4xPE 24E