ส่องผลตอบแทน 4 ปีย้อนหลัง สินทรัพย์ไหนเด่น ผงะ! SET ผลงานสุดช้ำใจ

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ก็ยังคงกระท่อนกระแท่น โดยวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงมาอยู่ที่ระดับ 1,313 จุด จนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ทำจุดต่ำสุด (New Low) ในรอบ 4 ปี 



ดังนั้น ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลทิศทางผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่เป็นดาวเด่นอยู่ปัจจุบัน หากนักลงทุนหรือผู้อ่านได้เข้าลงทุนไว้ในช่วง 4 ปีก่อนหน้า จะได้รับผลตอบแทนมากน้อยเพียงใดและสำหรับตลาดหุ้นไทยจะเทียบเคียงสินทรัพย์ใดได้บ้าง

โดยเริ่มกันกับหุ้นต่างประเทศที่มีความร้อนแรงกันในช่วงนี้อย่างหุ้น NVIDIA Corporation หรือ NVDA ซึ่งนับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ระดับราคา 9.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหุ้น มาจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2567) มาอยู่ที่ระดับ 120.89 ปรับตัวขึ้นกว่า 1,172%

ถัดมาเป็นตลาดหุ้นต่างประเทศสหรัฐฯอย่าง NASDAQ ที่ดัชนีจะรวมไปด้วยบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของดัชนีนับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ 10,058 จุด มาจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2567) มาอยู่ที่ระดับ 17,129 จุด ปรับตัวขึ้นราว 70%

ต่อมาเป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการปรับตัวได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กันในช่วงนี้ ก็คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ NIKKEI 225 ที่ได้ทำจุดสูงสุดไปในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งในวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ก็ได้มาอยู่ที่ระดับ 39,049 จุด โดยจากนักบจากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ระดับ 22,288 จุด ก็มีการปรับตัวขึ้นถึง 75%

หากพูดถึงสินทรัพย์ที่มีทิศทางความเคลื่อนไหวที่หวือหวาในตลาดทุน สินทรัพย์ดิจิทัลโทเคน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงโดยนับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ในระดับ 984,349 บาทต่อ 1 โทเคน มาจนปัจจุบัน(ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567) ที่ระดับ 2,569,308 บาทต่อ 1 โทเคน ก็ได้เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นกว่า 161%

ในส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีทิศทางความเคลื่อนอย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยนับจากวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ในระดับราคาบาทละ 25,400 บาท มาจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567) ก็ได้มีการปรับตัวขึ้นมากว่า 58% หรือมาอยู่ที่บาทละ 40,200 บาท

และสุดท้ายตลาดหุ้นไทย ที่ทิศทางความเคลื่อนไหวการซื้อขายระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนทำให้ดัชนีทำจุดต่ำสุดที่ 1,313 จุด ซึ่งหากนับจากวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ดัชนีปิดตลาดที่ 1,418 จุด ในปัจจุบันก็มีการปรับตัวลดลงมากว่า 7%