นับจากต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน (11 มิ.ย.67) นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จนมีมูลค่ารวมกันแล้วกว่า 93,026.27 ล้านบาท โดยข้อมูลล่าสุดขายหุ้นไทยติดต่อกัน 14 วัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 27,630.45 ล้านบาท แต่นักลงทุนเคยสงสัยหรือไม่ว่า ต่างชาติขายหุ้นไทยมูลค่ามากที่สุด นับจากต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้จากข้อมูลนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) รายงานการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติพบว่า AWC มีมูลค่ากว่า 35,705.50 ล้านบาท ตามด้วย CPALL กว่า 10,387.80 ล้านบาท ขณะที่ BTS มีมูลค่ากว่า 6,791.30 ล้านบาท และ CPN มีมูลค่ากว่า 6,393.70 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทีมข่าว Share2Trade สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า AWC ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนระยะยาว โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นรวมในบริษัทที่ 75% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทเช่นเดิม การทำรายการดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 20 มีนาคมที่ผ่านมา
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า ความไม่แน่นอนจากการเมือง ส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อ Fund Flow ต่างชาติไหลออกติดต่อกัน 14 วันทำการรวม 2.76 หมื่นล้านบาท กดดัน SET Index ทำจุดต่ำสุดรอบ 4 ปี
แม้ในระยะสั้นทิศทางตลาดยังผันผวน แต่ในมุม Valuation ที่ SET Index ซื้อขายบน PER67 ที่ 13.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1 S.D. ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัท มีแนวโน้มฟื้นตัว จึงเชื่อว่าระดับดัชนีบริเวณ 1,300-1,320 จุด เป็นโซนที่ทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว
โดยกลยุทธ์การลงทุนสภาวะที่มีความเสี่ยง Fund Flow ต่างชาติไหลออก ได้มีการคัดกรองหาหุ้นพื้นฐานดี Valuation ไม่แพงและแถมเงื่อนไขต่างชาติถือครองต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เพื่อหลีกความเสี่ยง Flow ไหลออก ในทางตรงข้ามได้ประโยชน์หาก Flow ไหลกลับ ได้หุ้นน่าสนใจหลายบริษัท
ขณะที่ฝ่ายวิจัยเลือกหุ้นที่ชอบมากที่สุด 3 บริษัทดังนี้
1.CPALL คาดกำไรปี 67 เติบโต 25%จากปีก่อน ทำระดับ All Time High ระยะสั้นได้ประโยชน์จากเทศกาล “ฟุตบอลยูโร 2024” ดีต่อกลุ่มสินค้า Ready to Eat
2.KBANK มีมุมมองเชิงบวกนโยบายมุ่งเน้นไปที่คุณภาพสินเชื่อที่ดีเพื่อลด credit cost โดยคาด Dividend Yield ปี 67 และปี 68 ที่ระดับ 6% ต่อปี
3.SPRC ได้ประโยชน์หลักจาก GRM ฟื้นตัวจากการเข้าสู่ฤดูการขับขี่ คาดกำไร 67 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า คาดกลับมาจ่ายปันผลปีนี้สูงถึง 7%
ทั้งนี้จากข้อมูลนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) รายงานการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติพบว่า AWC มีมูลค่ากว่า 35,705.50 ล้านบาท ตามด้วย CPALL กว่า 10,387.80 ล้านบาท ขณะที่ BTS มีมูลค่ากว่า 6,791.30 ล้านบาท และ CPN มีมูลค่ากว่า 6,393.70 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทีมข่าว Share2Trade สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า AWC ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนระยะยาว โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นรวมในบริษัทที่ 75% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทเช่นเดิม การทำรายการดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 20 มีนาคมที่ผ่านมา
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า ความไม่แน่นอนจากการเมือง ส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อ Fund Flow ต่างชาติไหลออกติดต่อกัน 14 วันทำการรวม 2.76 หมื่นล้านบาท กดดัน SET Index ทำจุดต่ำสุดรอบ 4 ปี
แม้ในระยะสั้นทิศทางตลาดยังผันผวน แต่ในมุม Valuation ที่ SET Index ซื้อขายบน PER67 ที่ 13.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1 S.D. ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัท มีแนวโน้มฟื้นตัว จึงเชื่อว่าระดับดัชนีบริเวณ 1,300-1,320 จุด เป็นโซนที่ทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว
โดยกลยุทธ์การลงทุนสภาวะที่มีความเสี่ยง Fund Flow ต่างชาติไหลออก ได้มีการคัดกรองหาหุ้นพื้นฐานดี Valuation ไม่แพงและแถมเงื่อนไขต่างชาติถือครองต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เพื่อหลีกความเสี่ยง Flow ไหลออก ในทางตรงข้ามได้ประโยชน์หาก Flow ไหลกลับ ได้หุ้นน่าสนใจหลายบริษัท
ขณะที่ฝ่ายวิจัยเลือกหุ้นที่ชอบมากที่สุด 3 บริษัทดังนี้
1.CPALL คาดกำไรปี 67 เติบโต 25%จากปีก่อน ทำระดับ All Time High ระยะสั้นได้ประโยชน์จากเทศกาล “ฟุตบอลยูโร 2024” ดีต่อกลุ่มสินค้า Ready to Eat
2.KBANK มีมุมมองเชิงบวกนโยบายมุ่งเน้นไปที่คุณภาพสินเชื่อที่ดีเพื่อลด credit cost โดยคาด Dividend Yield ปี 67 และปี 68 ที่ระดับ 6% ต่อปี
3.SPRC ได้ประโยชน์หลักจาก GRM ฟื้นตัวจากการเข้าสู่ฤดูการขับขี่ คาดกำไร 67 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า คาดกลับมาจ่ายปันผลปีนี้สูงถึง 7%