“กองรีท” คืออีกหนึ่งการลงทุน ที่จะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมี “รายได้” ในรูปแบบของเงินปันผลกลับมาอย่างสม่ำเสมอ จึงถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนยอดนิยมในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ยังมองว่า เมื่อดอกเบี้ยขาขึ้นผ่านจุดพีค เป็นโอกาสลงทุนใน กองรีท เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของหุ้น
ดังนั้นทีมงาน Wealth Sharing จึงได้รวบรวมประมาณการเงินปันผลปี 2567 ของกองรีมที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดในตลาดหุ้นมาฝากนักลงทุน
เริ่มกันที่ CPNREIT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมิน Dividend yield จะอยู่ในระดับ 10% หลังเพิ่มทุน โดย CPNREIT มีการคาดการณ์ว่าการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังปี 2567 กองทรัสต์จะสามารถจ่ายเงินปันผล (DPU) ให้ผู้ถือหน่วยได้ 0.525 บาทต่อหน่วย รวมเป็น DPU ทั้งปี 1.05 บาทต่อหน่วย คิดเป็น Dividend yield สูงถึง 10%
ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าในปี 2568 DPU จะเพิ่มเป็น 1.14 บาทต่อหน่วย คิดเป็น Dividend yield ที่สูงถึง 11% จากผลประกอบการที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ การบริโภค และการท่องเที่ยว ประกอบกับพื้นที่เช่าของเซ็นทรัลพระราม 2 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1 หมื่น ตร.ม. แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเหมาะสม 12.50 บาทต่อหน่วย
ต่อกันที่ WHART นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” (เดิมถือ) ให้ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท (DCF) ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเช่าเฉลี่ย (OR) ของกองทุนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้ไว้ที่ 8.1% กองทุนมี IRR เท่ากับ 8.7%
ส่วน LPF นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า LPF มีความโดดเด่นที่สุด โดยสินทรัพย์มีโอกาสขยายตัวและให้ Yield เพิ่มขึ้น ซึ่ง LPF จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น AXTRART ในเร็วๆนี้ มีโอกาสที่จะขยายสินทรัพย์จากการซื้อ Lotus’s ที่มีกว่า 200 สาขา และสินทรัพย์อื่นๆ จากสปอนเซอร์ คือ CPAXT และ CP Group
สำหรับปัจจุบันกองทุน LPF ให้ Dividend yield ราว 7% และประเมิน IRR ไว้ที่ 8% เห็นโอกาสที่กองทุนจะจ่ายปันผลเพิ่มเมื่อมีการซื้อสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มในอนาคต แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 14.50 บาท โดยคาดรอบงบปี 2568 (รอบงบสิ้นสุด ก.พ. 2568) จ่ายเงินปันผลในอัตราหน่วยละ 0.87 บาท
ด้าน LHHOTEL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ยังคงคำแนะนำ OUTPERFORM คงราคาเป้าหมาย 15 บาท/หน่วย และยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.5% จากปีก่อน นอกจากนี้ยังคาดการณ์เงินปันผลที่ 1.16 บาท/หน่วย คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.2%
ต่อกันที่ AIMIRT นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยังชอบ AIMIRT ที่จะมีขนาดสินทรัพย์เพิ่ม 22% หลังรับโอนสินทรัพย์จาก PPF เข้ามาในกองทุน ราคาปัจจุบันให้ Dividend yield สูงที่ 8.6% และประเมิน IRR ไว้ที่ 9.3% แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 14.50 บาท โดยคาดปี 2567 จ่ายเงินปันผล 0.90 บาท
ขณะที่ WHAIR นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ ซื้อ และเป้าหมาย 8.60 บาท คาดเงินปันผลปี 2567 ที่ 0.56 บาท และคาด Dividend yield ที่ระดับ 9.4%
โดยมอง WHAIR มีโครงสร้างที่ดีโดยลงทุนสิทธิการเช่าระยะยาว (30+30 ปี) และอายุการเช่าคงเหลือนานถึง 54 ปี มีการกระจายความเสี่ยงตามประเภทสินทรัพย์ (RBF และ RBW) ทำเลที่ตั้ง (160 ยูนิตใน 8 โครงการ โดย 93% อยู่ใน EEC) และผู้เช่าหลากหลาย (อุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค โลจิสติกส์ จากจีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น)
LHSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า LHSC เป็นหนึ่งในกองทรัสต์ที่จ่ายเงินปันผลโดดเด่นและสมํ่าเสมอ และจ่ายทุก 2 เดือน สร้าง Dividend yield กว่า 9% ต่อปี สูงสุดในกองทรัสต์ค้าปลีก ยกเว้นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด คาด DPU จะเพิ่มขึ้นได้ภายหลังการขยายการลงทุน และน่าจะรักษาระดับ Dividend yield 9-10% ต่อปีต่อไป โดยคาดปี 2567 จ่ายเงินปันผล 0.956 บาท แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเหมาะสมที่ 12 บาทต่อหน่วยก่อนเพิ่มทุน
ดังนั้นทีมงาน Wealth Sharing จึงได้รวบรวมประมาณการเงินปันผลปี 2567 ของกองรีมที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดในตลาดหุ้นมาฝากนักลงทุน
เริ่มกันที่ CPNREIT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมิน Dividend yield จะอยู่ในระดับ 10% หลังเพิ่มทุน โดย CPNREIT มีการคาดการณ์ว่าการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังปี 2567 กองทรัสต์จะสามารถจ่ายเงินปันผล (DPU) ให้ผู้ถือหน่วยได้ 0.525 บาทต่อหน่วย รวมเป็น DPU ทั้งปี 1.05 บาทต่อหน่วย คิดเป็น Dividend yield สูงถึง 10%
ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าในปี 2568 DPU จะเพิ่มเป็น 1.14 บาทต่อหน่วย คิดเป็น Dividend yield ที่สูงถึง 11% จากผลประกอบการที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ การบริโภค และการท่องเที่ยว ประกอบกับพื้นที่เช่าของเซ็นทรัลพระราม 2 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1 หมื่น ตร.ม. แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเหมาะสม 12.50 บาทต่อหน่วย
ต่อกันที่ WHART นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” (เดิมถือ) ให้ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท (DCF) ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเช่าเฉลี่ย (OR) ของกองทุนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้ไว้ที่ 8.1% กองทุนมี IRR เท่ากับ 8.7%
ส่วน LPF นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า LPF มีความโดดเด่นที่สุด โดยสินทรัพย์มีโอกาสขยายตัวและให้ Yield เพิ่มขึ้น ซึ่ง LPF จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น AXTRART ในเร็วๆนี้ มีโอกาสที่จะขยายสินทรัพย์จากการซื้อ Lotus’s ที่มีกว่า 200 สาขา และสินทรัพย์อื่นๆ จากสปอนเซอร์ คือ CPAXT และ CP Group
สำหรับปัจจุบันกองทุน LPF ให้ Dividend yield ราว 7% และประเมิน IRR ไว้ที่ 8% เห็นโอกาสที่กองทุนจะจ่ายปันผลเพิ่มเมื่อมีการซื้อสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มในอนาคต แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 14.50 บาท โดยคาดรอบงบปี 2568 (รอบงบสิ้นสุด ก.พ. 2568) จ่ายเงินปันผลในอัตราหน่วยละ 0.87 บาท
ด้าน LHHOTEL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ยังคงคำแนะนำ OUTPERFORM คงราคาเป้าหมาย 15 บาท/หน่วย และยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.5% จากปีก่อน นอกจากนี้ยังคาดการณ์เงินปันผลที่ 1.16 บาท/หน่วย คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.2%
ต่อกันที่ AIMIRT นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยังชอบ AIMIRT ที่จะมีขนาดสินทรัพย์เพิ่ม 22% หลังรับโอนสินทรัพย์จาก PPF เข้ามาในกองทุน ราคาปัจจุบันให้ Dividend yield สูงที่ 8.6% และประเมิน IRR ไว้ที่ 9.3% แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 14.50 บาท โดยคาดปี 2567 จ่ายเงินปันผล 0.90 บาท
ขณะที่ WHAIR นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ ซื้อ และเป้าหมาย 8.60 บาท คาดเงินปันผลปี 2567 ที่ 0.56 บาท และคาด Dividend yield ที่ระดับ 9.4%
โดยมอง WHAIR มีโครงสร้างที่ดีโดยลงทุนสิทธิการเช่าระยะยาว (30+30 ปี) และอายุการเช่าคงเหลือนานถึง 54 ปี มีการกระจายความเสี่ยงตามประเภทสินทรัพย์ (RBF และ RBW) ทำเลที่ตั้ง (160 ยูนิตใน 8 โครงการ โดย 93% อยู่ใน EEC) และผู้เช่าหลากหลาย (อุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค โลจิสติกส์ จากจีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น)
LHSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า LHSC เป็นหนึ่งในกองทรัสต์ที่จ่ายเงินปันผลโดดเด่นและสมํ่าเสมอ และจ่ายทุก 2 เดือน สร้าง Dividend yield กว่า 9% ต่อปี สูงสุดในกองทรัสต์ค้าปลีก ยกเว้นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด คาด DPU จะเพิ่มขึ้นได้ภายหลังการขยายการลงทุน และน่าจะรักษาระดับ Dividend yield 9-10% ต่อปีต่อไป โดยคาดปี 2567 จ่ายเงินปันผล 0.956 บาท แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเหมาะสมที่ 12 บาทต่อหน่วยก่อนเพิ่มทุน