ออริจิ้น เดินหน้าทยอยโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดเสร็จใหม่ แบ็คล็อกรวมกว่า 5,000 ล้าน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทจะมีคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,600 ล้านบาท ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ (SO Origin Kaset Interchange) มูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท 2.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) มูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท 3.ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sriudom Station) มูลค่าโครงการ 2,180 ล้านบาท โดยมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (แบ็คล็อก) จาก 3 โครงการดังกล่าวแล้วกว่า 80% ของมูลค่าโครงการ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังได้จัดกิจกรรมอำนวยความสะดวกลูกบ้านใหม่ ตลอดช่วงไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา อาทิ งาน Origin Exclusive Financial Day จับมือพันธมิตรสถาบันการเงิน อำนวยความสะดวกลูกบ้านในการเตรียมความพร้อมด้านการขอสินเชื่อและวิเคราะห์วงเงินจากสถาบันการเงิน งาน Happy New Home ต้อนรับลูกบ้านใหม่เข้าเยี่ยมชมตึกจริงหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ จัดกิจกรรม Check & Sure สร้างความมั่นใจ พร้อมมีบริการนวดสปาผ่อนคลาย และกิจกรรมเพนท์แก้วสุดน่ารัก รองรับลูกบ้านที่เข้าตรวจรับมอบห้อง โดยแต่ละกิจกรรมได้รับการตอบรับจากลูกบ้านอย่างล้นหลาม
สำหรับทั้ง 3 โครงการ ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ และถือเป็นโครงการในทำเลที่โดดเด่นจากรถไฟฟ้าแต่ละสาย ทั้งสายสีเขียว สายสีม่วง และสายสีเหลือง โดยแต่ละโครงการต่างมีจุดเด่นที่น่าสนใจ อาทิ โซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ ที่ใกล้รถไฟฟ้าหลายสาย ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น ที่มาพร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มถึง 4 ชั้น กว่า 20 กิจกรรม มาพร้อมทัศนียภาพ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา และ ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น ที่มาในรูปแบบคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เมื่อนำจุดเด่นต่างๆ มาประกอบกับการอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน และการดูแลใส่ใจลูกบ้านอย่างเต็มที่ เตรียมทยอยปิดยอดสินเชื่อพัฒนาโครงการ (Pre-finance) กับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องได้ในช่วงประมาณ 2-3 เดือนแรกหลังเริ่มโอนกรรมสิทธิ์
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทยังเดินหน้ายกระดับการดูแลลูกบ้าน ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิดการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ Origin Give โดยมีแคมเปญ Drink To Give Together ซึ่งนำผลิตภัณฑ์จากชุมชน นำร่องที่ น้ำผึ้งโพรงป่าธรรมชาติ จากชุมชนปกาเกอะญอ จ.เชียงราย ที่ผ่านการผลิตอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจระบบนิเวศของป่า ทำให้มีรสชาติหวานหอมละมุนเป็นเอกลักษณ์ จากเกสรดอกไม้ป่ากว่า 300 ชนิด มามอบความสุขให้แก่ลูกบ้านในกิจกรรมต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้น ทั้งกลุ่มกิจกรรม Financial Day กิจกรรม Happy New Home เพื่อสนับสนุนสินค้าของชุมชนให้เป็นที่รู้จัก และส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ควบคู่กับการยกระดับความสุขในการอยู่อาศัยของลูกบ้าน และให้ลูกบ้านได้มีส่วนในการสนับสนุนชุมชนไปด้วยกัน
ทั้งนี้ บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 อีกจำนวน 5 โครงการ มูลค่ากว่า 9,400 ล้านบาท ภายใต้หลากหลายแบรนด์ ทั้ง ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) โซ (SO) และดิ ออริจิ้น (The Origin) มีแบ็คล็อคกว่า 75% คาดว่าจะช่วยให้บริษัทยังมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 247,795 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร