จิปาถะ

ยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้ เสรีภาพหรือหายนะของครอบครัวไทย


19 มิถุนายน 2567
เจาะลึกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ: จุดเปลี่ยนของกฎหมายฟ้องชู้และผลกระทบต่ออนาคตของคดีครอบครัว

ยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้.jpg


วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์สำหรับกฎหมายครอบครัวไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ที่ให้สิทธิสามีและภริยาในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากชู้ได้ไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ว่าด้วยหลักความเสมอภาคและการห้ามเลือกปฏิบัติ นับเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบังคับใช้กฎหมายฟ้องชู้ของไทยอย่างสิ้นเชิง

คำวินิจฉัยอันเป็นเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมและการเลือกปฏิบัติที่ฝังรากลึกในกฎหมายฟ้องชู้มาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นการยืนยันหลักการสำคัญตามรัฐธรรมนูญ ในการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ และความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย แม้ศาลจะเปิดช่วงเวลา 360 วันให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายก่อนคำวินิจฉัยมีผลบังคับใช้ แต่คำวินิจฉัยนี้ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทย ที่จะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิของบุคคลและการยุติความรุนแรงทางเพศในสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

เหตุผลหลักที่ทำให้กฎหมายฟ้องชู้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ความไม่เป็นธรรมและการเลือกปฏิบัติ

กฎหมายเดิมเอื้อให้สามีฟ้องชู้ภรรยาได้ง่ายกว่าภรรยาฟ้องหญิงชู้ ขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ

การลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์

กฎหมายมองคู่สมรสเป็นเสมือนทรัพย์สิน ซึ่งลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจของแต่ละบุคคล

ความล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน

กฎหมายไม่สอดคล้องกับความหลากหลายของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน และการตีตราการมีชู้ว่าเป็นความผิดอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป

รากเหง้าของความอยุติธรรม: กฎหมายฟ้องชู้ในอดีต

กฎหมายฟ้องชู้มีจุดกำเนิดมาจากแนวคิดที่ต้องการปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติยศของคู่สมรส สะท้อนให้เห็นค่านิยมดั้งเดิมของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ในชีวิตคู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กฎหมายที่เคยสอดคล้องกับบริบทเก่า กลับกลายเป็นข้อจำกัดสิทธิที่ไม่เป็นธรรมในปัจจุบัน

ลองจินตนาการถึงกรณีสมมติ นายเอกและนางเอเป็นคู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้อง วันหนึ่งนายเอกพบว่านางเอแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายบี หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย นายเอกจะฟ้องนายบีเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ทันที แต่ในทางกลับกัน หากนางเอจับได้ว่านายเอกนอกใจไปหานางซี เธอจะฟ้องนางซีได้ก็ต่อเมื่อนางซีแสดงตัวเปิดเผยในฐานะชู้เท่านั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายเดิมนั้นเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมอย่างแจ่มแจ้ง

ศาลรัฐธรรมนูญปกป้องความเสมอภาค ตามมาตรา 27

หัวใจสำคัญของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ คือการยืนยันว่ามาตรา 1523 วรรคสองในกฎหมายฟ้องชู้ ขัดแย้งกับหลักความเสมอภาคตามมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน โดยชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน ดังนั้น กฎหมายฟ้องชู้จึงมีปัญหาเพราะเลือกปฏิบัติให้สิทธิที่ไม่เท่าเทียมระหว่างสามีและภรรยา

ยกตัวอย่างจากกรณีสมมติข้างต้น จะเห็นว่า นายเอก สามารถฟ้อง นายบี ได้ง่ายกว่าที่ นางเอ จะฟ้องนางซี ไม่ว่าชู้จะแสดงตัวเปิดเผยหรือไม่ เงื่อนไขเช่นนี้ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยชัดเจน ละเมิดหลักความเสมอภาคในการปกป้องสิทธิทางกฎหมายระหว่างเพศ

สิทธิและเสรีภาพที่ศาลคุ้มครอง

คำวินิจฉัยนี้ ไม่ได้มุ่งปกป้องความเสมอภาคเพียงด้านเดียว แต่ยังคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพด้านอื่นๆ ของปัจเจกบุคคลที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในชีวิตส่วนตัว สิทธิในครอบครัว และสิทธิในการกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายให้การรับรอง การยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้จึงเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐจะลดการแทรกแซงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของประชาชน

ในกรณีสมมติข้างต้น การที่ นายบี และ นางซี จะสานสัมพันธ์ฉันชู้สาว กับ นางเอ และ นายเอก ย่อมถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่พวกเขามีเสรีภาพ ไม่ควรถูกตีตราว่าผิดกฎหมายหรือต้องถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่ายจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ความใส่ใจ

ความท้าทายใหม่ในการพิสูจน์ความผิด

ท่ามกลางเสียงชื่นชมต่อคำวินิจฉัยนี้ ในแวดวงกฎหมายก็มีการหยิบยกประเด็นว่า การยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้อาจทำให้การพิสูจน์การนอกใจของคู่สมรสเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้น เพราะไม่มีบทบัญญัติรองรับการฟ้องร้องอย่างเป็นทางการแล้ว ทนายความและผู้พิพากษาจะต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นๆ เช่น ข้อความสื่อสาร รูปถ่าย หรือเอกสารการเงิน ซึ่งอาจไม่แน่ชัดและต้องอาศัยการตีความที่ละเอียดอ่อน

ในกรณีสมมติ ถ้านายเอกอยากฟ้องนายบีเพื่อเป็นคดีแพ่ง เขาจะต้องหาหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนถึงสัมพันธ์ระหว่างนางเอและนายบี ซึ่งจะยากกว่าการฟ้องร้องภายใต้กฎหมายฟ้องชู้แบบเดิม ความท้าทายนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภายใต้ระบอบใหม่ คู่สมรสจะต้องปรับตัวในการจัดการคดีเกี่ยวกับชู้สาว

มุมมองจากนักกฎหมาย

ทนายนิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ ได้แสดงความเห็นว่าจุดอ่อนสำคัญของกฎหมายฟ้องชู้เดิม คือความไม่เท่าเทียมระหว่างสามีและภรรยาในการดำเนินคดี ซึ่งมีที่มาจากการที่กฎหมายกำหนดให้สามีฟ้องชู้ได้ง่ายกว่าภรรยา เพราะฟ้องชายชู้ได้ทุกกรณี ในขณะที่ภรรยาจะฟ้องหญิงชู้ได้ก็ต่อเมื่อเปิดเผยตัวเท่านั้น ทนายนิด้า จึงเห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกมาตรา 1523 วรรคสอง และเสนอแนะให้เขียนกฎหมายขึ้นใหม่ ให้ทั้งสามีและภรรยามีสิทธิฟ้องชู้ได้อย่างเสมอภาค

ด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ก็ได้ออกมาอธิบายเพิ่มเติมว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้หมายความว่าสามีภรรยาจะฟ้องชู้ไม่ได้เลย แต่ยังสามารถฟ้องได้ 2 กรณี คือ ในกรณีที่ชู้ไปมีความสัมพันธ์กับคู่สมรสเราแม้จะไม่เปิดเผย หรือในกรณีที่ชู้มีความสัมพันธ์กับคู่สมรสเราอย่างเปิดเผย โดยไม่คำนึงว่าชู้เป็นชายหรือหญิง ซึ่งกรณีที่สองนี้เหมือนเดิม ส่วนกรณีแรกถือว่าเป็นสิทธิเพิ่มเติมที่คู่สมรสมีมากขึ้น โดยทนายเดชาคาดว่า กฎหมายใหม่จะมีผลประมาณ 120 วันหลังจากที่ศาลมีคำวินิจฉัย

สะท้อนคิด เสียงสังคมที่แตกต่าง

ปฏิกิริยาต่อคำวินิจฉัยนี้ในสังคมมีความหลากหลาย ผู้ที่เห็นด้วยมองว่านี่คือชัยชนะของความเสมอภาคและเสรีภาพส่วนบุคคล แต่อีกด้านก็มีเสียงกังวลว่าการยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้จะกระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสังคมไทย ความเห็นที่แตกต่างชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปกฎหมายครอบครัวอย่างสมดุลและเป็นธรรมนั้น ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและการถกเถียงจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างฉันทามติร่วมกัน

ทางเลือกใหม่ในการประสานรอยร้าว

ไม่ว่ากฎหมายฟ้องชู้จะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ที่ประสบปัญหาชีวิตคู่ก็ยังมีทางออกอื่นที่สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใจคุยกันด้วยเหตุผล การขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา การเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกร่วมกัน หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ก็อาจใช้สิทธิฟ้องหย่าตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ทั้งหมดนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือการเยียวยาความสัมพันธ์ ไม่ใช่การลงโทษกัน

มองไปข้างหน้า

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกฎหมายครอบครัวไทย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และเสรีภาพ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น สังคมไทยจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนากฎหมายและนโยบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหย่า กฎหมายคุ้มครองเด็ก หรือกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว เพื่อสร้างระบบคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในครอบครัวอย่างครอบคลุม

นอกจากการปรับแก้กฎหมายแล้ว สังคมไทยจำเป็นต้องสร้างความตระหนักรู้และปลูกฝังค่านิยมที่ดีในเรื่องความสัมพันธ์ เช่น การเรียนรู้ทักษะการสื่อสารในครอบครัว การเคารพในความแตกต่างของแต่ละคน การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และการให้คุณค่ากับความเอื้ออาทรมากกว่าสถานะทางกฎหมาย การมีสายตาที่กว้างและเข้าใจต่อความหลากหลายของความสัมพันธ์ในโลกยุคใหม่ จะช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัวและป้องกันปัญหาได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ควรจัดสรรทรัพยากรเพื่อพัฒนาระบบให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัวที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาสามารถได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ความสัมพันธ์จะพังทลายไปมากจนเกินเยียวยา รัฐจำเป็นต้องพัฒนาสวัสดิการและกลไกคุ้มครองทางสังคมให้กับเด็กที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากความขัดแย้งของพ่อแม่ ซึ่งมักเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์

ความหวังในวันพรุ่งนี้

ถึงแม้การยกเลิกกฎหมายฟ้องชู้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างสังคมแห่งความเป็นธรรมและเสมอภาค แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ความสุขของครอบครัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบทกฎหมาย หากแต่ขึ้นอยู่กับพลังของ "ความรัก" และ "ความเข้าใจ" ต่างหาก ที่จะยึดเหนี่ยวให้ครอบครัวอบอุ่นและเข้มแข็ง หากเราทุกคนร่วมกันสร้างสังคมที่มีความเมตตา เอื้ออาทร และให้อภัย เชื่อว่าอนาคตของสถาบันครอบครัวไทยจะสดใสอย่างแน่นอน

การปฏิรูปกฎหมายครอบครัวและการสร้างวัฒนธรรมแห่งความเข้าใจในครอบครัวนั้น เป็นเรื่องท้าทาย แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้จุดประกายความหวัง แต่การจะทำให้ความหวังนั้นเป็นจริงได้ เราทุกคนต้องร่วมมือกันเป็นพลังของการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ให้ทุกครอบครัวเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น และให้การให้อภัยเป็นคุณธรรมนำทางของพวกเราทุกคน นั่นคือสังคมในฝันที่เรากำลังก้าวไปด้วยกัน

ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/tnnexclusive/168365/