Wealth Sharing
สงครามราคา EV เดือดจัด เป็นความเสี่ยงหุ้นกลุ่ม “ธนาคาร” กระทบราคารถมือสอง-ขาดทุนรถยึด
21 มิถุนายน 2567
ตลาดยานยนต์แข่งขันกันเดือด ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และสันดาป หั่นราคา บริหารสต็อกรักษากำลังการผลิต ล่าสุดรถ BYD ลดราคารุ่น BYD Dolphin 2024 สูงสุด 160,099 บาท ถึง 30 มิ.ย.67 ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นบางแห่งจัดโปรโมชันในช่วงเดือน มิ.ย.67
ทั้งนี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็นลบ คาดกระทบราคารถยนต์มือสองและขาดทุนรถยึด เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่สูง
ทำให้ธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ และส่งผลให้ค่ายรถทั้งรถอีวีและรถสันดาปเกิดการแข่งขันทางด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะรถอีวีที่มีการลดราคามาตั้งแต่ปลายปี 66 และยังคงมีการลดราคาอยู่จนถึงปัจจุบัน (ยอดขายรถอีวีคิดเป็น 7-8% จากยอดขายรถทั้งหมด)
อีกทั้งคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงราคารถยนต์ โดยเฉพาะราคารถยนต์มือสองที่มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงได้อีกจากปัจจุบัน ซึ่งจะกระทบต่อผลขาดทุนรถยึดที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก
ทั้งนี้เรียงผลกระทบตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (48% ของสินเชื่อรวม), TISCO (46% ของสินเชื่อรวม), TTB (30% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (7% ของสินเชื่อรวม)
อย่างไรก็ตามยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “เท่ากับตลาด” เพราะการเติบโตของกำไรปี 67 จะโตได้ชะลอตัวเหลือเติบโต 5% จากปีก่อน ที่เติบโต 18% จากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดี ด้าน valuation ยังถูก เทรดที่ระดับเพียง 0.60 เท่า PBV โดยเลือก KBANK, TTB เป็น Top pick
สำหรับ KBANK ราคาเป้าหมายที่ 155.00 บาท เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ประกอบกับคาดกำไรไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสำรองฯที่ลดลง รวมถึงมี valuation ที่น่าสนใจ โดยซื้อขายเพียง 0.54 เท่าถูกกว่ากลุ่มที่ 0.60 เท่า PBV และถูกกว่า SCB ที่ 0.73 เท่า PBV
TTB ราคาเป้าหมายที่ 2.10 บาท เพราะแนวโน้มกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดีสุดในกลุ่มที่ 13% จากปีก่อน ขณะที่คาดกำไรไตรมมาส 2/67จะเพิ่มขึ้นได้ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จาก Tax benefit และการรุกสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงจากฐานกลุ่มลูกค้าเดิมของ TTB ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้านราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PBV ที่ 0.68 เท่า และยังมี Dividend yield ที่ระดับราว 6%
ทั้งนี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็นลบ คาดกระทบราคารถยนต์มือสองและขาดทุนรถยึด เนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่สูง
ทำให้ธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ และส่งผลให้ค่ายรถทั้งรถอีวีและรถสันดาปเกิดการแข่งขันทางด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะรถอีวีที่มีการลดราคามาตั้งแต่ปลายปี 66 และยังคงมีการลดราคาอยู่จนถึงปัจจุบัน (ยอดขายรถอีวีคิดเป็น 7-8% จากยอดขายรถทั้งหมด)
อีกทั้งคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงราคารถยนต์ โดยเฉพาะราคารถยนต์มือสองที่มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงได้อีกจากปัจจุบัน ซึ่งจะกระทบต่อผลขาดทุนรถยึดที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก
ทั้งนี้เรียงผลกระทบตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (48% ของสินเชื่อรวม), TISCO (46% ของสินเชื่อรวม), TTB (30% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (7% ของสินเชื่อรวม)
อย่างไรก็ตามยังคงน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น “เท่ากับตลาด” เพราะการเติบโตของกำไรปี 67 จะโตได้ชะลอตัวเหลือเติบโต 5% จากปีก่อน ที่เติบโต 18% จากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดี ด้าน valuation ยังถูก เทรดที่ระดับเพียง 0.60 เท่า PBV โดยเลือก KBANK, TTB เป็น Top pick
สำหรับ KBANK ราคาเป้าหมายที่ 155.00 บาท เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ประกอบกับคาดกำไรไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสำรองฯที่ลดลง รวมถึงมี valuation ที่น่าสนใจ โดยซื้อขายเพียง 0.54 เท่าถูกกว่ากลุ่มที่ 0.60 เท่า PBV และถูกกว่า SCB ที่ 0.73 เท่า PBV
TTB ราคาเป้าหมายที่ 2.10 บาท เพราะแนวโน้มกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดีสุดในกลุ่มที่ 13% จากปีก่อน ขณะที่คาดกำไรไตรมมาส 2/67จะเพิ่มขึ้นได้ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จาก Tax benefit และการรุกสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงจากฐานกลุ่มลูกค้าเดิมของ TTB ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้านราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PBV ที่ 0.68 เท่า และยังมี Dividend yield ที่ระดับราว 6%