Talk of The Town

เผยโฉม 5 หุ้นเด่นในดัชนี SETESG ลุ้นกวาดเม็ดเงินกอง TESG แบบใหม่


26 มิถุนายน 2567
ถือเป็นการจุดกระแสอีกครั้ง ของเทรนด์การลงทุน ESG หลังจากที่กระทรวงการคลังเตรียมปรับเงื่อนไขของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) เพื่อสร้างแรงใจและความน่าสนใจให้แก่ผู้ลงทุนมากขึ้นผ่านการออมเงิน แต่สำหรับใครที่มองการลงทุนในกองทุนรวมยังไม่เป็นที่น่าสนใจหรืออยากโฟกัสหุ้นรายตัวด้วยตนเอง

S2T (เว็บ) เผยโฉม 5 หุ้นเด่นในดัชนี SETESG_0.jpg

ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade ก็ได้ทำการหยิบยกมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมกับคัดสรรหุ้นรายตัวที่ยังมีโอกาสให้ผู้อ่านและนักลงทุนได้คว้าการสร้างผลตอบแทนจากจุดที่หุ้นหลายๆตัวปรับฐานหรือปรับตัวลงมาแรง โดยนำเสนอผ่านความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลวงจร LTF ในปี 2555 -2556 ที่มีวัฏจักรเศรษฐกิจคล้ายกับปัจจุบันพบว่า ทุกๆ เม็ดเงินใหม่ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่ตลาดจะหนุน SET ราว 20-25 จุด ใกล้เคียง ผลการศึกษาของตลาดที่ประเมิน 25-27 จุด ดังนั้น หากเม็ดเงินเข้ามาใกล้เคียงกับที่เราประเมินต่อปี ประเมินจะหนุนอัพไซด์ตลาดอย่างมีนัยสำคัญจากฐานปัจจุบัน

ด้านแนวทางการเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง ประกอบไปหุ้นที่ราคาปรับตัวลงจากต้นปีถึงปัจจุบันสูง, มีน้ำหนักในดัชนี SETESG ค่อนข้างมากและมีสัดส่วนสถานะ Short-selling คงค้างเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาด อาทิ AOT ( -2.1%, 7.75%, 1.02%), CPALL (-0.45%, 4.65%, 0.89%), GULF (-9.55%, 4.38%, 0.42%), SCC (-26%, 2.84%, 0.85%) และ BBL (-15.7%, 2.34%, 1.15%)และ สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัว AOT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 76 บาท เนื่องจากราคาหุ้นยังมีปัจจัยเร่งจากการที่ภาครัฐยังคงให้ความสำคัญต่อการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและมาตรการวีซ่าฟรีไทย-จีนจะช่วยหนุนผู้โดยสารจีนยังมีทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในครึ่งปีหลังปี 67 และ ปี 2568

ถัดมา CPALL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 73 บาท เนื่องจากอัตรากําไรของผลิตภัณฑ์ 7-Eleven ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทําให้ปรับกําไรขึ้น 4-7% ในปี 2567-2569 เมื่อรวมผลบวกจากโครงการ digital wallet และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่าเป็น 400 บาท

ต่อมา GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 52.75 บาทโดยเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ดีแผน PDP 2024 จะเป็นปัจจัยที่ต้องรอติดตามและจะเป็น Overhang ที่จำกัดการฟื้นตัวของราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าในระยะสั้น-กลาง

 SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 250 บาท แม้มูลค่าหุ้นจะไม่แพง แต่หุ้นยังขาดปัจจัยผลักดันในระยะสั้นและกำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังถูกกดดันจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) ที่ทรงตัวต่ำ

สุดท้าย BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 157 จาก 191 บาท เพื่อสะท้อนค่า COE ที่คาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 12.2% (จาก 10.2%) คิดเป็นค่า P/BV ที่ 0.54 เท่า (จาก 0.65 เท่า) อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นในปัจจุบันมีราคาถูก พร้อมกับให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 5-6% ต่อปี

เผยโฉม 5 หุ้นเด่นในดัชนี SETESG-01_0.jpg