กระดานข่าว

“ทรีนีตี้“ เปิดกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3


26 มิถุนายน 2567
“ทรีนีตี้” มองหุ้นไตรมาส 3 “Sideways” โดย Upside ของดัชนียังถูกจำกัดจากแนวโน้มกำไรที่อ่อนแอ แต่ Downside น่าจะถูกจำกัดจากปัจจัยด้าน Valuation เช่นกัน ให้กรอบดัชนีแนวรับที่ 1270 และ 1240 จุด ส่วนแนวต้านประเมินที่ 1340 จุด และ 1370 จุด ชี้แรงขายนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มทยอยลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมคัด 10 หุ้นน่าสนใจ 

คุณณัฐชาต เมฆมาสิน00.jpg

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567  ประเมินภาพ SET Index มีโอกาสแกว่งตัว Sideways  และดัชนีน่าจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาสนี้  โดยกำหนดแนวรับแรกที่ระดับดัชนี 1270 จุด ซึ่งตรงกับกรณีเลวร้ายสุดเดิมโดยอิงกับสมมติฐานว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยได้ 0.25% ในปีนี้ และกำหนดแนวรับสำคัญที่บริเวณดัชนี 1240 จุด ซึ่งเป็นระดับเลวร้ายสุดใหม่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ธปท.อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ตั้งรับตามกรอบแนวรับที่ให้ไว้ทั้ง 2 แนวตลอดทั้งไตรมาส 3 นี้  ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกที่ดัชนี 1340 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 1370 จุด

“การปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท.มีผลต่อโมเดล P/E หากลดดอกเบี้ยปีนี้ 0.25% เหลือ 2.25% ณ สิ้นปี  Forward PE ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยในกรณีดีสุด (Bull) / ฐาน(Base) / แย่สุด (Worst) จะอยู่ที่ 14.2x / 13.2x / 12.3x ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าระดับ SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีเดิม หากอิงกับคาดการณ์ EPS ปีหน้า (2025E) ที่ 107 บาทจะอยู่ที่ 1480 / 1370 / 1270 จุดตามลำดับ ในทางกลับหากธปท.อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่เหลือของปีนี้เลย Forward PE ของ SET ในแต่ละกรณีก็จะต้องถูกลดทอนด้วยเช่นกัน โดยจะลงมาอยู่ที่ระดับ 13.8x / 12.8x / 11.9x ตามลำดับ และดัชนีที่เหมาะสมในแต่ละกรณีได้ที่ 1430 / 1340 / 1240 จุดตามลำดับ“ นายณัฐชาตกล่าว 

ทั้งนี้ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3 ยังอยู่ท่ามกลาง สภาวะอึมครึมจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่กว่าจะเห็นความชัดเจนคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมขณะที่ในช่วงปลายเดือนกันยายนอาจต้องระวังปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ โดยในส่วนของในประเทศ จะเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินลงทุนเพื่อเกษียณอายุราชการจะสามารถครบกำหนดไถ่ถอนซึ่งจะก่อให้เกิดแรงขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศโดยอัตโนมัติ ส่วนปัจจัยต่างประเทศนั้น  หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดหวังไว้จะทำให้ Bond yield และเงิน USD ปรับตัวขึ้นอีกครั้ง จนเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดได้ 

สำหรับประเด็นมาตรการ Uptick rule ของทางตลาดหลักทรัพย์ที่จะเริ่มบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้นั้น มองว่าเป็นปัจจัยที่พอจะช่วยค้ำยัน Downside ของดัชนีไว้ได้บ้าง โดยเฉพาะในวันที่ดัชนีมีการไหลลงแรงระหว่างวัน จะเป็นตัวช่วยลดทอนแรงขายแบบโมเมนตัมได้ แต่ไม่คิดว่ามาตรการนี้จะเป็นตัวผลักดัน Upside ของดัชนีได้ ขณะที่ Earnings จะยังเป็นปัจจัยชี้นำที่สำคัญที่สุดต่อตลาดหุ้นในไตรมาสนี้ ในช่วงเวลาที่ปัจจัยอื่นๆยังไม่น่าจะมีอิทธิพลมากนัก

นายณัฐชาต กล่าวถึงแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในไตรมาส 3  ว่า ยังมีแรงขายเหลืออยู่ แต่จะไม่รุนแรงเท่ากับช่วง ครึ่งแรกของปี2567 ที่ได้ขายสุทธิไปแล้ว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากประเมินว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทน่าจะมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 37 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเตรียมเข้าสู่ช่วง High season ของการส่งออก จะช่วยหนุนดุลการค้า รวมถึงการโยกย้ายเงินปันผลกลับของนักลงทุนต่างชาติก็ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว 

นายณัฐชาต กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วง 3 เดือนข้างหน้าแบ่งออกเป็น กลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยกลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอก คือ กลุ่มส่งออกอาหารและเกษตรแปรรูป คาดว่ากำไรของกลุ่มนี้จะยังคงแข็งแกร่ง จากการเข้าสู่ช่วง High season ของฤดูกาลส่งออก และสินค้าหลายชนิดมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก หากดีมานด์ยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี น่าจะก่อให้เกิดการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงจนทำให้เกิดภาวะ Economies of Scale หนุน Margin ต่อไปได้  ที่สำคัญ สินค้าบางชนิด ยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอีกด้วย 
กลุ่มหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายใน นักลงทุนจำเป็นต้องเน้นไปยังกลุ่มที่มี Margin of Safety ในเชิง Valuation และ มีธีมการลงทุนสนับสนุนเฉพาะตัว อย่างเช่น กลุ่มที่อิงกับการลงทุนภาครัฐ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มธนาคารที่กระจายความเสี่ยงออกจากฐานลูกค้ารีเทล

สำหรับธีมการลงทุนเฉพาะด้าน มองไปยังตัวหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสภาวะ La Niña ที่จะเข้ามาอิทธิพลมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 นี้  และจะถึงจุดพีคสุดในช่วงไตรมาสที่ 4 ในอดีตปรากฏการณ์นี้มักนำมาสู่การปรับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรบางชนิด ตามระดับอุปทานในฝั่งทวีปอเมริกาที่ได้รับผลกระทบ ส่วนละแวกเอเชียตะวันออกเฉียงใน้รวมถึงบ้านเรานั้น ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกชุกมากกว่าปกติ มักจะส่งผลบวกต่อกลุ่มผู้แปรรูปสินค้าเกษตร ตามต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง รวมไปถึงผู้เล่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเป็นสำคัญ 

โดยหุ้นที่น่าสนใจ หุ้น 10 ตัวที่เราแนะนำเป็น Top pick ประจำไตรมาสที่ 3 นี้ จะได้แก่ COCOCO, SAPPE, STGT, SCCC, TASCO, BCH, BBL, KTB, CKP, TVO เป็นต้น