“สหรัฐอเมริกา” เป็นประเทศที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าและแนวโน้มความต้องการไฟฟ้าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สอดรับกับเทรนด์การใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยี AI และธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ต้องใช้พลังงานสูงในการจัดเก็บและบริหารข้อมูลจำนวนมหาศาล บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในฐานะผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพระดับสากล เล็งเห็นถึงโอกาสดังกล่าว ที่ผ่านมาจึงเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) อย่าง Temple l ขนาด 768 เมกะวัตต์ และ Temple II ขนาด 755 เมกะวัตต์ ในปี 2564 และปี 2566 ต่อเนื่องตามลำดับ
ด้วยจุดยืนการส่งมอบพลังงานไฟฟ้าคุณภาพสู่สังคม ซึ่งหมายถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ประกอบกับสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศยุทธศาสตร์ในการลงทุนธุรกิจผลิตพลังงานของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง BPP จึงมุ่งหน้าสร้างความเป็นเลิศ (Operational Excellence) ด้วย 4 พลังขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการผลิตและจ่ายไฟ พร้อมไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนี้
- เดินเครื่องโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในตลาดไฟฟ้าเสรี
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ทําให้มีตลาดแบบประมูลซื้อขายไฟจำนวนมาก มีหน่วยงานกำกับแยกกันสำหรับแต่ละตลาด ปัจจุบัน BPP ได้ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส โดยเท็กซัสเป็นรัฐที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมาก ด้วยทำเลที่ตั้งระหว่างเมืองออสตินและดัลลัสที่มีการกระจุกตัวของประชากรและเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าซื้อโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ที่อยู่ติดกัน ส่งผลให้ BPP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจากการแบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งยังสามารถบริหารต้นทุนต่อหน่วยได้ต่ำลง และสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น (Economies of Scale: EOS) และสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางระหว่างโรงไฟฟ้าทั้งสองเพื่อต่อยอดขยายธุรกิจเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญยังเป็นฐานให้ BPP ขยายการลงทุนไปตลาดไฟฟ้าอื่นในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งช่วยรักษาสมดุลระหว่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและตลาดไฟฟ้าเสรี (Balanced PPA and Merchant Market) ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงจากรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และมีโอกาสทำผลกำไรสูงจากรูปแบบตลาดไฟฟ้าเสรีในช่วงที่มีความต้องการสูงด้วยราคาที่สูงขึ้น และมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องหลากหลาย พร้อมนำข้อได้เปรียบของรูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าแต่ละประเภทมาก่อให้เกิดโอกาสในการสร้างรายได้สูงสุด เพราะเป้าหมายของบริษัทฯ ไม่ใช่เพียงการสร้างเสถียรภาพในการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ยังต้องสร้างผลกำไรให้มั่นคงในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจที่ต้องส่งมอบผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียด้วย
- สร้างสมดุลการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอผ่านการใช้เครื่องมืออนุพันธ์ทางการเงิน (Hedging Tools)
การสร้างสมดุลจากการคว้าโอกาสในการทำกำไรในช่วงที่มีความต้องการสูงด้วยราคาที่สูงขึ้น และการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากตลาดไฟฟ้าเสรีด้วยการป้องกันความเสี่ยงนั้น เป็นอีกกุญแจสำคัญที่ทำให้ BPP ประสบความสำเร็จในการสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและมั่นคงจากการลงทุนในตลาดไฟฟ้าเสรีในสหรัฐฯ
บริษัทฯ ใช้ประโยชน์จากเครื่องมืออนุพันธ์ทางการเงิน (Hedging Tools) ที่มีในตลาดไฟฟ้าเสรี 2 ประเภท ได้แก่ Heat Rate Call Option (HRCO) สัญญาให้สิทธิการซื้อไฟฟ้า ที่โรงไฟฟ้าจะเป็นผู้ขายสิทธิให้กับผู้ซื้อที่อาจเป็นนักลงทุนหรือสถาบันทางการเงินที่ต้องการสัญญาซื้อขายไฟในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของราคาค่าไฟที่อาจสูงขึ้นจากราคาต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น โดยสิ่งที่โรงไฟฟ้าจะได้รับกลับมาคือค่าพรีเมี่ยม (Premium) และกระแสเงินสดที่มั่นคงและแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของปี ทั้งในเดือนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงหรือเดือนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตามปกติ อีกส่วนคือ Spark Spread Hedge เป็นการทำสัญญาเพื่อล็อคราคาขายไฟและราคาต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในปริมาณและราคาที่ตกลงกันระหว่างคู่สัญญา ทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถล็อคส่วนต่างดังกล่าว ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาต้นทุนเชื้อเพลิงและราคาขายไฟในตลาดได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเครื่องมืออนุพันธ์ทางการเงินทั้ง 2 ประเภทนี้ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถวางแผนทางการเงินได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นับเป็นอีกกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ BPP เลือกใช้จากการเป็นส่วนหนึ่งในตลาดไฟฟ้าเสรี
- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนำ AI มาต่อยอดในการจำหน่ายไฟฟ้า
การเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งทำให้ BPP มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีที่เอื้อต่อการแข่งขันกันของผู้ผลิตและผู้ขายไฟเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค BPP ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้วางแผนการผลิตและขายไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาด ทั้งในตลาดค้าส่ง (Wholesale) ตลาดค้าปลีก (Retail) รวมถึงการซื้อ-ขายไฟฟ้า (Power Trading) ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ทำให้ BPP และมีโอกาสในการสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้น
- ส่งมอบพลังงานไฟฟ้าคุณภาพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นอกจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอแล้ว BPP ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืน ตัวอย่างจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Temple l และ Temple II ที่มีการจัดการที่โดดเด่นใน 3 ด้าน คือ การจัดการคุณภาพอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยผลิตภัณฑ์โดยรวมของ BPP ให้อยู่ในปริมาณที่ดีขึ้น การจัดการทรัพยากรน้ำ โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำปานกลางถึงสูง แต่ด้วยประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดี ทำให้สามารถนำน้ำที่ใช้แล้ววนกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยโรงไฟฟ้าจะรับน้ำใช้แล้วจากแหล่งชุมชนมาบำบัดแบบชีวภาพ (Biological treatment) ให้มีมาตรฐานเพียงพอสำหรับกระบวนการผลิตไฟฟ้า จากนั้นนำน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตแล้วมาบำบัดเพื่อวนใช้ต่อ ทำให้สามารถลดการใช้ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ และไม่ปล่อยน้ำเสียออกสู่แหล่งน้ำภายนอก และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในช่วงสภาวะที่มีสภาพอากาศผันผวนและรุนแรง แม้โรงไฟฟ้าสองแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศผันผวน แต่ด้วยการจัดการที่ดี เช่น ในช่วงฤดูร้อนของรัฐเท็กซัสที่มีอุณหภูมิสูงจัด BPP ได้มีการติดตั้งระบบหล่อเย็นเสริมเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของหม้อแปลง ทำให้อุณหภูมิของหม้อแปลงอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เร่งผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้โรงไฟฟ้าสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำรายได้ ส่วนในฤดูหนาวที่ประสบปัญหาสถานีสูบน้ำไม่สามารถทำงานได้จากอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง บริษัทฯ ได้ติดตั้งโครงสร้างระบบรางเลื่อนอัตโนมัติแบบถาวรสำหรับสถานีสูบน้ำ ทดแทนการใช้พลาสติกป้องกันแบบชั่วคราว ทำให้การผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการที่รัดกุมเหล่านี้ ทำให้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกาของ BPP มีเสถียรภาพ และมีบทบาทสำคัญในการจ่ายไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนทั้งในช่วงปกติและวิกฤติสภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “มาตรฐานการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแฝด Temple I และ Temple II สะท้อนจุดแข็งของ BPP ในการดำเนินงานด้วยคุณภาพระดับสากล (Excellent Worldwide Operation) จากประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าเกือบ 30 ปีของ BPP ในตลาดไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ละทิ้งเรื่องความยั่งยืนในทุกกระบวนการทางธุรกิจ ในแง่ผลตอบแทนในปี 2566 ที่ผ่านมา หลังจากที่ซื้อโรงไฟฟ้า Temple II ในเดือนกรกฎาคมประกอบกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากวิกฤตคลื่นความร้อนในรัฐเท็กซัสในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ สามารถสร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ถึง 12,262 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปี 2565
BPP ยังคงเดินหน้าสานต่อความสำเร็จด้วยแผนการลงทุนในช่วง 3 ปีนี้ (2567-2569) โดยวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 500-700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT (Combined Cycle Gas Turbines) เพิ่มเติม เพื่อให้บริษัทฯ สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ และอีกส่วนเพื่อการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ตลอดจนการศึกษาและพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ ๆ ภายใต้กลยุทธ์ Beyond Megawatts Portfolio ที่เน้นการปรับพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า”
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com
ยอดนิยม

VIH ซื้อหุ้นคืน 26.66 ล้านหุ้น ใช้เงินสดส่วนเกิน ยืนยันไม่เกี่ยวเงินเพิ่มทุน สาเหตุราคาหุ้นไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ตั้งเป้าทำนิวไฮใหม่ปีนี้

13 มีนาคมนี้!!! ผู้ถือหุ้น MC รับเงินปันผลบานฉ่ำ !!!
.jpg)
“นิปปอนเพนต์” ก้าวล้ำวงการสีด้วยพลัง AI! ส่งสุดยอดแพ็กคู่โซลูชัน “น้องนิปปอน” และ “Colour Design”

เบเยอร์ เขย่าวงการธุรกิจสีทาอาคาร สำเร็จเจ้าแรก! ใช้เทคโนโลยีล้ำ AI OCR อ่านบิลเขียนมือได้ รันแคมเปญใหญ่ "ลดเดือดรับ Summer แจกไม่ยั้ง!"
