นับว่าเป็นอีกหนึ่งคำที่ติดปากและติดหูเป็นอย่างมากในช่วงนี้กับคำว่า ROCKSTAR ซึ่งหากอ้างอิงจากคำดังกล่าวในแง่ของตลาดทุนก็มีธีมการลงทุนแบบข้างต้นด้วยเช่นกัน เพียงแต่หน้าตาและตัวหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง จะมีอะไรบ้างในวันนี้ Share2Trade จะพาไปหาคำตอบ
โดยบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า หุ้นที่มีความโดดเด่นและมีความ Rockstar ของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ โดยโฟกัสที่การฟื้นตัวของผลประกอบการ จากการวิเคราะห์มีคุณสมบัติของหุ้น 4 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในไตรมาส 3/67
โดยเป็นหุ้นที่มีฐานะการเงิน (งบดุล) ที่ดีซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงและความท้าทายเชิงมหภาคในวงกว้าง, โมเมนตัมเชิงบวกจากวัฏจักรภาคการผลิตทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นพร้อมสัญญาณเบื้องต้นของการกลับมาเก็บสต็อกสินค้า
พร้อมกับผลประกอบการฟื้นตัวในปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของรายได้และการขยายตัวของมาร์จิ้น และได้รับประโยชน์จากสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั้งผลประกอบการและมีมูลค่าในครึ่งปีหลัง 67 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น แนะนำ ADVANC, KCE, OSP, PTTGC และ TU
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัว ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มกําไรไตรมาส 3/67 อาจชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะผลกระทบจากฤดูกาล แต่จะยังโตได้จากช่วงเดียวกัน จาก ARPU ที่ยังเพิ่มขึ้น ยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่ายที่ยังลดลง
ทั้งนี้ ยังคงประมาณกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 30,387 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 7% และคงคําแนะนํา“Outperform” ราคาเป้าหมายที่ 252 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์ถึง 22%, ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกําไรไตรมาส 2/67 ที่ออกมาดี โตได้ทั้งไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 67 ภายหลังประกาศงบ
ถัดมา KCE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์แสดงสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดําเนินงานปี 2567 ให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,882 ล้านบาท เติบโต 9% ดังนั้น จึงยังยังคงแนะนํา “ซื้อ” และ ราคาเป้าหมายที่ 46 บาท
OSP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังปี 67 จะเติบโตจากช่วงเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงต่อ จึงคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 2,906 ล้านบาท เติบโต 33% ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” และเลือกเป็น Top pick ของกลุ่มเครื่องดื่ม ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท
ด้าน PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่ากำไรสุทธิปี 67 ที่ 5,533 ล้านบาท เติบโต 453% มีโอกาสเกิดดาวน์ไซด์ จากการปรับปรุงมูลค่าสินทรัพย์ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้อยค่าฯและจะกดดันผลงานไตรมาส 2/67-3/67 ทั้งนี้ แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนของผลกระทบด้อยค่าฯ รวมถึงรอดูสเปรด Polymers ฟื้น ค่อยกลับมาซื้อเก็งกำไร
สุดท้าย TU นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า กำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้แล้ว และแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/67 จะกลับมาโต หลังผ่านพ้นช่วงโลว์ซีซั่นและการ Destocking สินค้าของลูกค้าจบลงนอกจากนี้จะรับรู้ราคาต้นทุนที่ปรับลดลงได้มากขึ้น (ปกติจะมี lag time ราว 2-3 เดือน)
รวมถึงได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรมีโอกาสทำระดับสูงสุดของปีในไตรมาส3/67 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 5,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% พร้อมกับคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16.80 บาท
โดยบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า หุ้นที่มีความโดดเด่นและมีความ Rockstar ของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ โดยโฟกัสที่การฟื้นตัวของผลประกอบการ จากการวิเคราะห์มีคุณสมบัติของหุ้น 4 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในไตรมาส 3/67
โดยเป็นหุ้นที่มีฐานะการเงิน (งบดุล) ที่ดีซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงและความท้าทายเชิงมหภาคในวงกว้าง, โมเมนตัมเชิงบวกจากวัฏจักรภาคการผลิตทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นพร้อมสัญญาณเบื้องต้นของการกลับมาเก็บสต็อกสินค้า
พร้อมกับผลประกอบการฟื้นตัวในปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของรายได้และการขยายตัวของมาร์จิ้น และได้รับประโยชน์จากสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั้งผลประกอบการและมีมูลค่าในครึ่งปีหลัง 67 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น แนะนำ ADVANC, KCE, OSP, PTTGC และ TU
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัว ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มกําไรไตรมาส 3/67 อาจชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะผลกระทบจากฤดูกาล แต่จะยังโตได้จากช่วงเดียวกัน จาก ARPU ที่ยังเพิ่มขึ้น ยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่ายที่ยังลดลง
ทั้งนี้ ยังคงประมาณกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 30,387 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 7% และคงคําแนะนํา“Outperform” ราคาเป้าหมายที่ 252 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์ถึง 22%, ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกําไรไตรมาส 2/67 ที่ออกมาดี โตได้ทั้งไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 67 ภายหลังประกาศงบ
ถัดมา KCE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์แสดงสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดําเนินงานปี 2567 ให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,882 ล้านบาท เติบโต 9% ดังนั้น จึงยังยังคงแนะนํา “ซื้อ” และ ราคาเป้าหมายที่ 46 บาท
OSP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังปี 67 จะเติบโตจากช่วงเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงต่อ จึงคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 2,906 ล้านบาท เติบโต 33% ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” และเลือกเป็น Top pick ของกลุ่มเครื่องดื่ม ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท
ด้าน PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่ากำไรสุทธิปี 67 ที่ 5,533 ล้านบาท เติบโต 453% มีโอกาสเกิดดาวน์ไซด์ จากการปรับปรุงมูลค่าสินทรัพย์ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้อยค่าฯและจะกดดันผลงานไตรมาส 2/67-3/67 ทั้งนี้ แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนของผลกระทบด้อยค่าฯ รวมถึงรอดูสเปรด Polymers ฟื้น ค่อยกลับมาซื้อเก็งกำไร
สุดท้าย TU นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า กำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้แล้ว และแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/67 จะกลับมาโต หลังผ่านพ้นช่วงโลว์ซีซั่นและการ Destocking สินค้าของลูกค้าจบลงนอกจากนี้จะรับรู้ราคาต้นทุนที่ปรับลดลงได้มากขึ้น (ปกติจะมี lag time ราว 2-3 เดือน)
รวมถึงได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรมีโอกาสทำระดับสูงสุดของปีในไตรมาส3/67 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 5,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% พร้อมกับคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16.80 บาท