จับประเด็นหุ้นเด่น
TACC หุ้นเด่นรายได้-กำไรโตต่อเนื่อง ปันผลสูงสุดกลุ่มเครื่องดื่มไทย
01 กรกฎาคม 2567
บมจ. ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับการแนะนำให้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นหุ้นเด่นที่เติบโตในร้านสะดวกซื้อ และยังเป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อรับเงินปันผล
บล.กรุงศรี วิเคราะห์สถานการณ์ บมจ. ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) โดยระบุว่า กลับมารายงานคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6 บาท โดยชอบTACC เนื่องจากมีการเติบโตที่ดีควบคู่ไปกับการเติบโตของ CVS (CPALL) การประเมินมูลค่าที่ดีที่ 11x P/E ปี 2024 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงที่ 9% (2024F) เนื่องจาก EBITDA ปี 2024F ที่ 364 ล้านบาท เกินกว่าการลงทุนที่ 50 ล้านบาท
โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะเติบโต 14% ในปี 2024F โดยได้รับแรงหนุนจาก (1) การเติบโตของรายได้ 15% ส่วนใหญ่มาจากการขายเครื่องดื่มในร้าน 7-11 (2) อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 2.3ppt yoy (เป็น 33.9%) จาก ราคาเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 ในส่วน CVS
สำหรับปี 2567 เชื่อว่ารายรับรวมของ SG&A อาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt เป็น 17% เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจการดูแลส่วนบุคคลใหม่ (ผ่านบริษัทในเครือ 90% Health Inspired Planet หรือ HIP) ที่ยังต้องการเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภค
แต่เนื่องจากรายได้ 91% ของบริษัทมาจาก CPALL ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวจึงเป็นความเสี่ยงหลัก อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้บรรเทาลงได้จากการที่บริษัทเพิ่งต่อสัญญาระยะยาว 3 ปีกับ CPALL ซึ่งปัจจุบันจะสิ้นสุดในปี 2027 นอกจากนี้ บริษัทกำลังกระจายธุรกิจจากธุรกิจ CVS ไปยังธุรกิจอื่นๆ (เช่น การจัดหากาแฟไปยังร้านกาแฟอื่นๆ) ด้วยเหตุนี้สัดส่วนรายได้จาก CPALL จึงลดลงเหลือ 91% ในไตรมาส 1/2024 จาก 97% ในปี 2021
ทั้งนี้ตรึง TP ที่ 13.6 เท่า P/E ปี 2024 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 24 เท่า แม้ว่า กำไรหลักจะเร่งตัวขึ้นที่ 14% ในปี 2024F (เทียบกับค่าเฉลี่ย 8% ในช่วงปี 2021-2023) ซึ่งเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเราถึงคิดว่าราคาหุ้นมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ TACC มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 9% สูงที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่มไทย
ด้านบล.โกลเบล็ก คาดว่า งวด 2Q67 TACC เติบโต YoY QoQ เข้าสู่ช่วง High Season ที่มีสภาพอากาศร้อนจัดและโรงเรียนเปิดเทอม ประกอบกับจำหน่ายเครื่องดื่มแบบโถกดรสชาติใหม่ Drinking Yogurt (Seasonal Flavor) ได้กระแสตอบรับดีมาก ตลอดจนการเติบโตควบคู่กับการขยายสาขาของ7-Eleven ซึ่งคาดเปิดใหม่ราว 175 สาขาจากไตรมาสก่อน ส่วน %GPM คาดทรงตัวใกล้เคียงกับ 1Q67 ที่ราว 33.5% เนื่องจากมีการล็อคราคาวัตถุดิบตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน
โดยบริษัทมีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากปัจจัยที่คาดไว้ยังเป็นไปตามเดิม คือ การเติบโตจากธุรกิจกลุ่ม7-Eleven ตามแผนขยายสาขาในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ลาว และ กัมพูชา และกลุ่ม Non 7-Eleven โดยหลักมาจากการเป็นคู่ค้ากับกาแฟพันธุ์ไทย (สัดส่วน 6-7% ของรายได้รวม) มีแผนขยายสาขาเชิงรุก ซึ่งปัจจุบันมี947 สาขา โดยปีนี้คาดเปิดเพิ่มทั้งหมด 400 สาขา และแผน 5 ปีจะมีทั้งหมด 5,000 สาขา
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2H67 อาจได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบบางรายการที่ปรับตัวขึ้น อาทิ กาแฟ และน้ำตาล แต่คาด%GPM ยังคงใกล้เคียงกับประมาณการเดิมที่ราว 32-33% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายและราคาวัตถุดิบบางรายการปรับตัวลง อาทิ ครีมเทียม และนม ประกอบกับมีการปรับราคาขายมาตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อน โดยเรายังคงประมาณการรายได้และกำไรปี67 ราว 1,847 ลบ. +8%YoY และ242 ลบ. +16%YoY ตามลำดับ และราคาเหมาะสม 7.60 บาท Upside 55% และจ่ายอัตราเงินปันผล 7-8% ต่อปีแนะนำ"ซื้อ"
ส่วนความเสี่ยงระยะสั้น คือ 1) บริษัทเตรียมจำหน่ายหุ้นซื้อคืนจำนวน 8 ล้านหุ้นในช่วงวันที่ 17 พ.ค. 67 - 19 พ.ค. 2568 2) ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคากาแฟและน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้%GPM ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 32-33%
บล.กรุงศรี วิเคราะห์สถานการณ์ บมจ. ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) โดยระบุว่า กลับมารายงานคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6 บาท โดยชอบTACC เนื่องจากมีการเติบโตที่ดีควบคู่ไปกับการเติบโตของ CVS (CPALL) การประเมินมูลค่าที่ดีที่ 11x P/E ปี 2024 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงที่ 9% (2024F) เนื่องจาก EBITDA ปี 2024F ที่ 364 ล้านบาท เกินกว่าการลงทุนที่ 50 ล้านบาท
โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะเติบโต 14% ในปี 2024F โดยได้รับแรงหนุนจาก (1) การเติบโตของรายได้ 15% ส่วนใหญ่มาจากการขายเครื่องดื่มในร้าน 7-11 (2) อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 2.3ppt yoy (เป็น 33.9%) จาก ราคาเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 ในส่วน CVS
สำหรับปี 2567 เชื่อว่ารายรับรวมของ SG&A อาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt เป็น 17% เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจการดูแลส่วนบุคคลใหม่ (ผ่านบริษัทในเครือ 90% Health Inspired Planet หรือ HIP) ที่ยังต้องการเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภค
แต่เนื่องจากรายได้ 91% ของบริษัทมาจาก CPALL ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวจึงเป็นความเสี่ยงหลัก อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้บรรเทาลงได้จากการที่บริษัทเพิ่งต่อสัญญาระยะยาว 3 ปีกับ CPALL ซึ่งปัจจุบันจะสิ้นสุดในปี 2027 นอกจากนี้ บริษัทกำลังกระจายธุรกิจจากธุรกิจ CVS ไปยังธุรกิจอื่นๆ (เช่น การจัดหากาแฟไปยังร้านกาแฟอื่นๆ) ด้วยเหตุนี้สัดส่วนรายได้จาก CPALL จึงลดลงเหลือ 91% ในไตรมาส 1/2024 จาก 97% ในปี 2021
ทั้งนี้ตรึง TP ที่ 13.6 เท่า P/E ปี 2024 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 24 เท่า แม้ว่า กำไรหลักจะเร่งตัวขึ้นที่ 14% ในปี 2024F (เทียบกับค่าเฉลี่ย 8% ในช่วงปี 2021-2023) ซึ่งเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเราถึงคิดว่าราคาหุ้นมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ TACC มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 9% สูงที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่มไทย
ด้านบล.โกลเบล็ก คาดว่า งวด 2Q67 TACC เติบโต YoY QoQ เข้าสู่ช่วง High Season ที่มีสภาพอากาศร้อนจัดและโรงเรียนเปิดเทอม ประกอบกับจำหน่ายเครื่องดื่มแบบโถกดรสชาติใหม่ Drinking Yogurt (Seasonal Flavor) ได้กระแสตอบรับดีมาก ตลอดจนการเติบโตควบคู่กับการขยายสาขาของ7-Eleven ซึ่งคาดเปิดใหม่ราว 175 สาขาจากไตรมาสก่อน ส่วน %GPM คาดทรงตัวใกล้เคียงกับ 1Q67 ที่ราว 33.5% เนื่องจากมีการล็อคราคาวัตถุดิบตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน
โดยบริษัทมีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากปัจจัยที่คาดไว้ยังเป็นไปตามเดิม คือ การเติบโตจากธุรกิจกลุ่ม7-Eleven ตามแผนขยายสาขาในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ลาว และ กัมพูชา และกลุ่ม Non 7-Eleven โดยหลักมาจากการเป็นคู่ค้ากับกาแฟพันธุ์ไทย (สัดส่วน 6-7% ของรายได้รวม) มีแผนขยายสาขาเชิงรุก ซึ่งปัจจุบันมี947 สาขา โดยปีนี้คาดเปิดเพิ่มทั้งหมด 400 สาขา และแผน 5 ปีจะมีทั้งหมด 5,000 สาขา
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2H67 อาจได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบบางรายการที่ปรับตัวขึ้น อาทิ กาแฟ และน้ำตาล แต่คาด%GPM ยังคงใกล้เคียงกับประมาณการเดิมที่ราว 32-33% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายและราคาวัตถุดิบบางรายการปรับตัวลง อาทิ ครีมเทียม และนม ประกอบกับมีการปรับราคาขายมาตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อน โดยเรายังคงประมาณการรายได้และกำไรปี67 ราว 1,847 ลบ. +8%YoY และ242 ลบ. +16%YoY ตามลำดับ และราคาเหมาะสม 7.60 บาท Upside 55% และจ่ายอัตราเงินปันผล 7-8% ต่อปีแนะนำ"ซื้อ"
ส่วนความเสี่ยงระยะสั้น คือ 1) บริษัทเตรียมจำหน่ายหุ้นซื้อคืนจำนวน 8 ล้านหุ้นในช่วงวันที่ 17 พ.ค. 67 - 19 พ.ค. 2568 2) ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคากาแฟและน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้%GPM ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 32-33%