กระดานข่าว

“ทรีนีตี้”ชี้ตลาดทุนไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้งแกร่ง!!! เชื่อไตรมาส 4 ทุนไหล


02 กรกฎาคม 2567
“ทรีนีตี้” มองตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง และครบ 27 ปี ลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยแข็งแกร่งขึ้น สัดส่วนมาร์เก็ตแคปทะยานสู่ 97% ของ GDP เชื่อครึ่งปีหลังเงินทุนไหลออกน้อยลงและจะไหลเข้ามาช่วงปลายไตรมาส 4 หลังเฟดลงดอกเบี้ย ส่วนดัชนีหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีจะเคลื่อนไหวในกรอบ SET 1240-1430 จุด บนพื้นฐาน EPS ตลาดที่ 107 บาทต่อหุ้น และ PE ที่ 13.8 เท่า

TNITY_1.jpg

ดร. วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ถึงวาระครบ 27 ปี วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 และครบรอบลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ว่าเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ดูจากมูลค่าตลาดทุน (Market Capitalization) ต่อGDP ปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% มาสู่ 97% ของ GDP รวมประเทศ ตลาดตราสารหนี้มีการพัฒนาอย่างมากจากมูลค่าต่ำกว่าล้านล้านบาทในปี 1997 มาสู่ระดับ 17 ล้านๆบาท หรือ 95% ของ GDP ในปัจจุบัน ภาพการระดมทุนมีความสมดุลมากขึ้นทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุนและสินเชื่อธนาคาร ขณะที่ทุนสำรองต่อ GDP มีความแข็งแกร่งขึ้นมาอยู่ที่ 44% ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 18% ของ GDP ในช่วงที่ 1997 ดุลเดินสะพัดมีความแข็งแกร่ง (บางปีถึง 10% ของ GDP)  แต่ในส่วนของดุลบัญชีทุนเริ่มอ่อนแอลงนับตั้งแต่ปี 2556

ด้านหนี้สินภาคธุรกิจมีความแข็งแกร่งขึ้นจาก 175% ของ GDP ลงมาสู่ 95% ของ GDP ในปี 2552 ก่อนเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 197% GDP ในปีกลางปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจต้องก่อหนี้เพิ่ม ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นดีขึ้นจากที่ขาดทุนสุทธิช่วงปี 2540 มาสู่ระดับ 80-90 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต แต่ก็ยังมีบางภาคส่วนที่อ่อนแอลงมากในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP มาสู่ระดับ 91% ของ GDP ในปัจจุบัน และนำไปสู่ความอ่อนแอของการออมภาคครัวเรือน

สำหรับมูลค่าการซื้อขายของตลาดทุนไทย เมื่อเปรียบเทียบกับ Market Cap ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี  นักลงทุนที่เป็นรายบุคคลไทยได้ลดลงจาก 47% มาสู่ระดับ 31%  และมองว่าตลาดทุนไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายสุดในด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกไปแล้ว หลังเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกในไตรมาส 1 และ 2 ไปแล้วกว่า 1.1 แสนล้านบาท

ในส่วนของ Fund Flow ทั้งการซื้อและขายของนักลงทุนต่างชาติจะเป็นแบบเบาบางในไตรมาส 3 ทั้งภูมิภาคเนื่องจากเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังคงรอสัญญาณการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และการเลือกตั้งสหรัฐฯ และคาดว่า Fund Flow จะเริ่มคงไหลเข้ามาในปลายไตรมาส 4 ความชัดเจนของการลดดอกเบี้ยของ Fed และเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวต่อว่าแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในช่วงสั้น 1-3 เดือนข้างหน้า ค่าเงินเหรียญสหรัฐ จะยังคงแข็งค่าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่าง (Gap) ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่นทั่วโลกยังอยู่สูง

นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า Fed อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือคงดอกเบี้ย และคาดการณ์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี ขณะที่ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ถ้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ก็จะนำไปสู่การลดลงของกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลกมักปรับตัวลดลงกว่า 10% โดยเฉลี่ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 เดือน (สถิติจากการเลือกตั้ง 25 ปีย้อนหลัง) 

ตลาดหุ้นในไตรมาส 3 จะถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนสถาบัน มองการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงที่เหลือของปีที่ 1240-1430 โดยที่ 1240 (โดยใช้สมมติฐานที่ PE 11.9X และ consensus EPS 2025 ที่ 107 บาทต่อหุ้นและ PE ที่ 13.8x) เรามองตลาดหุ้นไทยเป็น K shape และเป็น sector selection โดยแนะนำให้ลงทุนใน sector ที่เน้นการขยายตัวของกำไร คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล 

ดร.วิศิษฐ์ เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติอาจจะเริ่มสนใจหุ้นไทยเมื่อ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทย เมื่อเปรียบเทียบกับ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐที่ค่าเฉลี่ยที่ 3.24% หรือระดับดัชนี SET ที่ 1250 และมองตลาดหุ้นไทยจะมี Fund Flow ไหลเข้าในปลายไตรมาส 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีปันผลสูง