Talk of The Town

ย้อนไทม์ไลน์หุ้น YGG จากอดีตราคาสุดปัง ปัจจุบันดิ่งเหว รู้หรือไม่? ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยถือหุ้น


03 กรกฎาคม 2567
เรื่องร้ายๆ ในแวดวงตลาดหุ้นยังไม่จบ ล่าสุดถึงคิวบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG หนึ่งในผู้นำธุรกิจดิจิตอลคอนเทนต์ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นงานด้านโฆษณา ภาพยนตร์ แอนิเมชัน งานคอมพิวเตอร์กราฟฟิก และเกม

ย้อนไทม์ไลน์หุ้น YGG copy_0.jpg

YGG ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 มกราคม 2563 ด้วยราคาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 5 บาทต่อหุ้น

เมื่อครั้งเข้าตลาดหุ้น YGG ถือเป็นหนึ่งในบริษัทสุดฮอต เพราะมีจุดแข็งในฐานะสตาร์ทอัพ “แอนิเมชั่น” รายแรกของเมืองไทย ที่มีตลาดหลักทรัพย์ฯ และธนาคารออมสิน เข้ามาถือหุ้น ยิ่งทำให้มีกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเมื่อครั้งเข้าซื้อขายวันแรก

ผลงานด้านการทำธุรกิจของ YGG ชื่อดังหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น งานของเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ที่ทำซีรีส์เรื่อง “เคว้ง” โดยได้ทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก (CG) ในตอนใหญ่ ๆ ที่สำคัญ รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากประเทศจีนเรื่อง “นาจา” เข้าฉายในประเทศไทยในช่วงนั้น 

อีกหนึ่งผลงานที่ถูกพูดถึงในวงกว้างของบริษัท คือ เกมซีรีส์ Home Sweet Home เป็นเกมแนวผจญภัยระทึกขวัญที่พัฒนาขึ้นโดย YGG จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปั้นเป็น Soft Power สร้างการรับรู้ท่องเที่ยวไทย

ล่าสุดยังจับมือกับพันธมิตรสตูดิโอใหญ่จากอเมริกา ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับฮอลลีวูด เรื่อง “Home Sweet Home Rebirth” ซึ่งมีการถ่ายทำในประเทศไทย โดยได้นักแสดงหญิงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย อย่าง ญาญ่า อุรัสยา  เสปอร์บันด์  เป็นนักแสดงนำฝ่ายหญิง ประกบกับดาราดังระดับฮอลลีวูด ทั้ง “Michele Morrone” “William Moseley” และ “Alexander Lee” นักแสดงและสมาชิกวงไอดอลเกาหลี  ซึ่งถือเป็นอีกบิ๊กโปรเจของ YGG

รวมทั้งเมื่อไม่นานมานี้ยังได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับบริษัท เจ้อเจียงฮัวกั๋ว ซาน  คัลเจอร์ มีเดีย จำกัด หรือที่รู้จักในชื่อ บริษัท ฟันเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอนเตอร์เทนเมนท์ของประเทศจีน เพื่อร่วมกันผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่น ทั้งหมด 5 เรื่อง ใช้ระยะเวลาในการผลิต 5 ปี มีงบประมาณการลงทุนสูงกว่า 450 ล้านหยวน หรือ 2,500 ล้านบาท  

นับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น YGG ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2563-2565 โดยปี 2563 มีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2564 เพิ่มเป็น 112 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มขึ้นอีกเป็น 122 ล้านบาท ก่อนที่กำไรสุทธิจะลดลงในปี 2566 เหลือเพียง 69.47 ล้านบาท ล่าสุดไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายธนัช กล่าวภายหลังประกาศผลงานไตรมาส 1/2567 ว่า ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/2566 และกลับมาสู่ระดับปกติแล้วในไตรมาส 1/2567 หลังจากนี้ YGG จะเดินหน้าเข้าสู่เฟสของการเติบโตเต็มรูปแบบ

ในปีนี้บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงาน และรายได้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการขยายและรุกในทุกส่วนงาน ทั้ง งานคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ภาพยนตร์แอนิเมชั่น และเกม 

นอกจากนี้บริษัทยังจะมีรายได้รูปแบบใหม่ๆ หลังจากการร่วมผลิตและพัฒนาผลงานต่อเนื่องมาจากในปี 2566 ทั้งรายได้จากการพัฒนาเกมใหม่ๆ รายได้จากการจัดจำหน่ายเกมที่เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท รวมทั้งรายได้จากการขายสิทธิ์ภาพยนตร์ฮอลลีวูด Home Sweet Home Rebirth

แต่อย่างไรก็ตาม หากวกกลับไปเมื่อปี 2564 หลัง YGG เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ได้ประกาศเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัท มีแผนที่จะย้ายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอไอ (mai) เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ ต้องมีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 300,000,000 บาท

โดยเพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวน 256,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 90,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 346,000,000 บาท โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 512,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวน 360,000,000 หุ้น ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ในอัตราจัดสรร 1 หุ้นสามัญ ต่อ 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.50 บาท และรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1(YGG-W1)จำนวน 90,000,000 หุ้น

นอกจากนี้หากย้อนกลับไปสำรวจราคาหุ้น YGG นับตั้งแต่เข้าตลาดฯ พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนทำจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ.65 ระดับ 14.80 บาท (ราคาปรับฐานจากกการเพิ่มทุนแล้ว) 

หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2567 ร่วงแรงจนระดับฟลอร์ที่ 4.08 บาท ท่ามกลางกระแสข่าวเจอฟอร์ซเซล

แต่ในช่วงนั้น นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร ออกมาระบุว่า ปัจจุบันตนยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ถือหุ้นครบสัดส่วนที่ 41.14% และอยากให้ผู้ถือหุ้น รวมทั้งนักลงทุนมั่นใจ ในการบริหารงานของกลุ่มผู้บริหารของบริษัท 

ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่อนคลายลง จนมาถึง 2 วันล่าสุดนี้ ที่ราคาหุ้นร่วงแรงจนระดับฟลอร์อีกครั้ง แถมยังมีออเดอร์คงค้างอีกกว่า 250 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นระดับจำนวนหุ้นมากกว่าที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อย่าง นายธนัช จุวิวัฒน์ ถือเสียอีก 

ทำให้เกิดคำถามว่าราคาหุ้นจะลดลงมีอีกฟลอร์หรือไม่ และใครกันแน่ที่เป็นบุคคลต้นเหตุทำให้ราคาหุ้นดิ่วเหวแบบนี้ รวมถึงหากคำนวณราคาวันนี้ที่ 1.74 บาท ราคาหุ้นร่วงแล้วว่า 88% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุด

ล่าสุด YGG ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับราคาหุ้นร่วงแรงวันนี้ว่า “ไม่มีพัฒนาการที่สำคัญใดๆ นอกเหนือจากที่ได้เปิดเผยผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์แล้ว” เอาเป็นว่า นักลงทุนจับตากันอย่างใกล้ชิดเพราะ สุดท้ายแล้ว YGG จะเป็นหุ้นรายต่อไปหรือไม่ ที่ทำร้ายนักลงทุนแบบไม่มีเยื่อใยหรือไม่
YGG