Talk of The Town
เอาไงดี? โบรกฯหั่นเป้าหมาย OR เหลือเพียง 13.8 บาท ต่ำกว่าไอพีโอ 23% ชี้! มูลค่ายังลดลงต่อเนื่อง แนะ “ขาย”
05 กรกฎาคม 2567
โบรกฯ แนะนำ “ขาย” OR แถมปรับ ราคาเป้าหมายลดลงเหลือ 13.8 บาท โดยเชื่อว่ามูลค่าจะยังคงลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ต่ำ และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งไม่คาดว่าธุรกิจ non-oil จะเติบโตเร็วพอที่จะหนุนกำไร
นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงคำแนะนำ “ขาย” OR และปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 13.8 บาท จาก 16 บาท เนื่องจากปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันระยะยาวเพื่อสะท้อนการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
ราคาหุ้นของ OR ลดลง 45% นับตั้งแต่ IPO และปัจจุบันซื้อขายที่ PE ที่ 18 เท่า ในปี 67 ลดลงจาก 30 เท่า ในปี 64 โดยเชื่อว่านี่เป็นเพราะการเติบโตของกำไรที่ทรงตัว และแนวโน้มเชิงลบที่เกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบาย
ทั้งนี้ไม่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใดๆ ในโปรไฟล์การเติบโตของกำไร และคาดว่ามูลค่าหุ้นจะลดลงต่อไป เนื่องจากตลาดน้ำมันในประเทศเติบโตเต็มที่แล้ว
นอกจากนี้ ไม่คาดว่าธุรกิจ non-oil จะเติบโตเร็วพอที่จะหนุนกำไรโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ ราคาเป้าหมายคิดเป็น PE ที่ 15 เท่า ในปี 67 ซึ่งเป็นระดับสูงกว่าอยู่แล้วเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสถานีบริการน้ำมันคู่แข่งที่ 12 เท่า เนื่องจากมีธุรกิจ non-oil
สำหรับแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ปี 2567 อยู่ระหว่างทำประชาพิจารณ์ (28 มิถุนายน – 12 กรกฎาคม) และคาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนกันยายน 2567 ภายใต้แผนนี้ กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันของประเทศจากปัจจุบัน 40-45 วัน เป็น 90 – 95 วัน
มาตรการนี้น่าจะดำเนินการผ่านปริมาณสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) ด้วย SPR ประเทศไทยสามารถรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงในประเทศได้โดยการปล่อยสำรองในช่วงที่ราคาพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการดำเนินการนี้จะต้องใช้เวลา เนื่องจากการจัดตั้งและการรักษา SPR จำเป็นต้องมีการลงทุนจำนวนมาก
โดยค่าการตลาดยังคงมี upside จำกัด โดยปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการตลาดขึ้น 10-11% เป็น 1 บาทต่อลิตร ในปี 2567-69 เนื่องจากแรงกดดันต่ออัตรากำไรลดลงตามเพดานราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ในปี 2567-69
อย่างไรก็ตามได้ปรับลดสมมติฐานค่าการตลาดในระยะยาวลง 10% เหลือ 0.9 บาทต่อลิตร เพื่อสะท้อนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า กระทรวงพลังงานปรับขึ้นเพดานราคาน้ำมันดีเซลเป็น 33 บาทต่อลิตร และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 35 บาท ในเดือนสิงหาคม เพื่อช่วยบรรเทาภาระของกองทุนน้ำมัน ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อค่าการตลาดน้ำมันได้ แต่เราเชื่อว่า upside ยังคงมีจำกัด เนื่องจากการขาดดุลของกองทุนน้ำมันอยู่ที่ 6.3 หมื่นลบ. ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566
ขณะที่คาดว่าค่าการตลาดน้ำมันของ OR จะลดลงในไตรมาส 2/67 เมื่อเทียบไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันอ่อนตัวลงซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนสต็อก ปริมาณขายปลีกน้ำมันน่าจะทรงตัว จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่แข็งแกร่งในเดือนเมษายนเนื่องจากช่วงวันหยุด แต่ถูกชดเชยด้วยการบริโภคที่ลดลงในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจ non-oil น่าจะรักษาระดับ EBITDA margin ได้ เนื่องจากการควบคุมต้นทุนที่ดี
นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงคำแนะนำ “ขาย” OR และปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 13.8 บาท จาก 16 บาท เนื่องจากปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันระยะยาวเพื่อสะท้อนการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
ราคาหุ้นของ OR ลดลง 45% นับตั้งแต่ IPO และปัจจุบันซื้อขายที่ PE ที่ 18 เท่า ในปี 67 ลดลงจาก 30 เท่า ในปี 64 โดยเชื่อว่านี่เป็นเพราะการเติบโตของกำไรที่ทรงตัว และแนวโน้มเชิงลบที่เกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบาย
ทั้งนี้ไม่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใดๆ ในโปรไฟล์การเติบโตของกำไร และคาดว่ามูลค่าหุ้นจะลดลงต่อไป เนื่องจากตลาดน้ำมันในประเทศเติบโตเต็มที่แล้ว
นอกจากนี้ ไม่คาดว่าธุรกิจ non-oil จะเติบโตเร็วพอที่จะหนุนกำไรโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ ราคาเป้าหมายคิดเป็น PE ที่ 15 เท่า ในปี 67 ซึ่งเป็นระดับสูงกว่าอยู่แล้วเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสถานีบริการน้ำมันคู่แข่งที่ 12 เท่า เนื่องจากมีธุรกิจ non-oil
สำหรับแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ปี 2567 อยู่ระหว่างทำประชาพิจารณ์ (28 มิถุนายน – 12 กรกฎาคม) และคาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนกันยายน 2567 ภายใต้แผนนี้ กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันของประเทศจากปัจจุบัน 40-45 วัน เป็น 90 – 95 วัน
มาตรการนี้น่าจะดำเนินการผ่านปริมาณสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) ด้วย SPR ประเทศไทยสามารถรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงในประเทศได้โดยการปล่อยสำรองในช่วงที่ราคาพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการดำเนินการนี้จะต้องใช้เวลา เนื่องจากการจัดตั้งและการรักษา SPR จำเป็นต้องมีการลงทุนจำนวนมาก
โดยค่าการตลาดยังคงมี upside จำกัด โดยปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการตลาดขึ้น 10-11% เป็น 1 บาทต่อลิตร ในปี 2567-69 เนื่องจากแรงกดดันต่ออัตรากำไรลดลงตามเพดานราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ในปี 2567-69
อย่างไรก็ตามได้ปรับลดสมมติฐานค่าการตลาดในระยะยาวลง 10% เหลือ 0.9 บาทต่อลิตร เพื่อสะท้อนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นจากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า กระทรวงพลังงานปรับขึ้นเพดานราคาน้ำมันดีเซลเป็น 33 บาทต่อลิตร และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 35 บาท ในเดือนสิงหาคม เพื่อช่วยบรรเทาภาระของกองทุนน้ำมัน ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อค่าการตลาดน้ำมันได้ แต่เราเชื่อว่า upside ยังคงมีจำกัด เนื่องจากการขาดดุลของกองทุนน้ำมันอยู่ที่ 6.3 หมื่นลบ. ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566
ขณะที่คาดว่าค่าการตลาดน้ำมันของ OR จะลดลงในไตรมาส 2/67 เมื่อเทียบไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันอ่อนตัวลงซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนสต็อก ปริมาณขายปลีกน้ำมันน่าจะทรงตัว จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่แข็งแกร่งในเดือนเมษายนเนื่องจากช่วงวันหยุด แต่ถูกชดเชยด้วยการบริโภคที่ลดลงในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจ non-oil น่าจะรักษาระดับ EBITDA margin ได้ เนื่องจากการควบคุมต้นทุนที่ดี