ยังคงมีประเด็นระดับโลกที่ทำให้นักลงทุนต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง อย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปลายปี 2567 โดยโพลหลังการดีเบตครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมเหนือ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
ดังนั้นหาก โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาคว้าตำแหน่งอีกครั้ง จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นบ้าง ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรัมป์ ตัวเต็งท้าชิงตำแหน่งปธน.ในรอบนี้ นโยบายมีผลอย่างไรกับการลงทุน
โดยฝ่ายวิจัยได้รวบรวมนโยบายสำคัญของทรัมป์ ประกอบด้วย
1.ต่ออายุกฎหมายปฏิรูปภาษี เพื่อมิให้อัตราภาษีนิติบุคคลพุ่งไปที่ 28% ในปีหน้า
2.เก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปที่อัตรา 10 % และจะเก็บภาษีสินค้าจีนด้วยอัตราที่สูงกว่านี้
3.เนรเทศผู้อพยพแบบผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และสร้างกำแพงตลอดชายแดนเม็กซิโก
4.สนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, มุ่งสนับสนุนอิสราเอลกำราบกลุ่มฮามาสจนยอมสงบศึก, ต้องการให้ประเทศใน NATO ใช้จ่ายด้านการปกป้องตัวเองมากขึ้น
สำหรับมุมมองของฝ่ายวิจัย ปัจจุบันการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนเนื่องจากจะมีการ debate อีก 1-2 ครั้ง, ไบเดนอาจตัดสินใจถอนตัวไม่ว่าผู้ใดชนะ แนวโน้มกระจายฐานการผลิตออกจากจีนยังมีอยู่ต่อไป
ทั้งนี้แนะนําลงทุนในหุ้นเวียดนามที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าว ผ่านกองทุน Principal VNEQ-A เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพเติบโตสูง ในระยะยาวมี FDI ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เวียดนามมีโอกาสถูกยกระดับเป็น EM โดย FTSE ในครึ่งหลังปี 68
กองทุนเฟ้นหาหุ้นพื้นฐานดี มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน บริหารโดยทั้งชาวไทย-เวียดนามทำให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและปรับพอร์ตได้อย่างทันท่วงที ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ เพิ่มขึ้น 20.61% ( ณ 2 ก.ค. 67) ค่าธรรมเนียมขาเข้า 1.50%และไม่มีค่าธรรมเนียมขาออก ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากกองทุน 2.31% ต่อปี
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่า Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็น ที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดน สหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ
ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจ สำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมากทรัมป์พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ ส่วน ไบเดน เน้นประเด็น การขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี
โดยกลยุทธ์ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 67 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ
ประกอบกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวดไตรมาส 3/67 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน
ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ ฝ่ายวิจัยคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE,HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT
ทั้งนี้ หาก ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจ สหรัฐ ดีขึ้น อาทิ จาก มาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT
ดังนั้นหาก โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาคว้าตำแหน่งอีกครั้ง จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นบ้าง ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรัมป์ ตัวเต็งท้าชิงตำแหน่งปธน.ในรอบนี้ นโยบายมีผลอย่างไรกับการลงทุน
โดยฝ่ายวิจัยได้รวบรวมนโยบายสำคัญของทรัมป์ ประกอบด้วย
1.ต่ออายุกฎหมายปฏิรูปภาษี เพื่อมิให้อัตราภาษีนิติบุคคลพุ่งไปที่ 28% ในปีหน้า
2.เก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปที่อัตรา 10 % และจะเก็บภาษีสินค้าจีนด้วยอัตราที่สูงกว่านี้
3.เนรเทศผู้อพยพแบบผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และสร้างกำแพงตลอดชายแดนเม็กซิโก
4.สนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, มุ่งสนับสนุนอิสราเอลกำราบกลุ่มฮามาสจนยอมสงบศึก, ต้องการให้ประเทศใน NATO ใช้จ่ายด้านการปกป้องตัวเองมากขึ้น
สำหรับมุมมองของฝ่ายวิจัย ปัจจุบันการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนเนื่องจากจะมีการ debate อีก 1-2 ครั้ง, ไบเดนอาจตัดสินใจถอนตัวไม่ว่าผู้ใดชนะ แนวโน้มกระจายฐานการผลิตออกจากจีนยังมีอยู่ต่อไป
ทั้งนี้แนะนําลงทุนในหุ้นเวียดนามที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าว ผ่านกองทุน Principal VNEQ-A เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพเติบโตสูง ในระยะยาวมี FDI ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เวียดนามมีโอกาสถูกยกระดับเป็น EM โดย FTSE ในครึ่งหลังปี 68
กองทุนเฟ้นหาหุ้นพื้นฐานดี มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน บริหารโดยทั้งชาวไทย-เวียดนามทำให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและปรับพอร์ตได้อย่างทันท่วงที ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ เพิ่มขึ้น 20.61% ( ณ 2 ก.ค. 67) ค่าธรรมเนียมขาเข้า 1.50%และไม่มีค่าธรรมเนียมขาออก ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากกองทุน 2.31% ต่อปี
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่า Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็น ที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดน สหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ
ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจ สำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมากทรัมป์พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ ส่วน ไบเดน เน้นประเด็น การขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี
โดยกลยุทธ์ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 67 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ
ประกอบกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวดไตรมาส 3/67 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน
ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ ฝ่ายวิจัยคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE,HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT
ทั้งนี้ หาก ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจ สหรัฐ ดีขึ้น อาทิ จาก มาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT