รายงานพิเศษ : ร่างแผน PDP2024 หนุนผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด – ดันรายได้ TGE แกร่ง
สนพ.เดินหน้าร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 ( PDP 2024) สนับสนุนผลงาน บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TGE มั่นใจรายได้ปี 67 โตเข้าเป้า 10%
ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Power Development Plan: PDP 2024) และร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) มีความชัดเจนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แผน PDP 2024 มุ่งเน้น 3 เรื่องหลักได้แก่
1.ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศที่ต้องเพียงพอกับการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ
2.ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม คือพยายามจะทำให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
3.ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากนโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือ เทคโนโลยีทางเลือก เพื่อช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยตั้งแต่ปี 2573 จะมีการผสมไฮโดรเจน ประมาณ 5% ความต้องการใช้ไฟฟ้าปลายแผนจะอยู่ที่ 56,133 เมกกะวัตต์ โดยปัจจัยเร่งมาจากการใช้รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพและปริมณฑล และรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนใน 6 เมืองหลัก เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยานยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ประกอบด้วย พลังงานสะอาด 51% แบ่งเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ 16% พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ 16% พลังน้ำต่างประเทศ 15% ก๊าซธรรมชาติ 41% และถ่านหินและลิกไนต์ 7%
ทั้งนี้แผน PDP2024 ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สอดคล้องกับทิศทางการผลิตพลังงานของโลก โดยเน้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้น และยังสอดคล้องกับธุรกิจของ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
“สืบตระกูล บินเทพ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2/2567 ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยโครงการดังกล่าวมีกำลังผลิตติดตั้งรวม 7 เมกะวัตต์ ระยะเวลาสัญญา 5 ปีมั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% ตามเป้า
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าศึกษาธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาดทั้งแผนเข้าลงทุนเอง และเข้าลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อรุกขยายไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ ที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 เพื่อเสริมทัพดันเป้ากำลังการผลิตติดตั้งรวมแตะ 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2575 ตามแผนที่วางไว้ ผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
"บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะรุกขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพในประเทศในกลุ่ม CLMV เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 28.8 MW ในประเทศเวียดนาม และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 20 MW ที่ประเทศกัมพูชา โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาโครงการ ทั้งในรูปแบบของ M&A และรูปแบบโครงการที่เริ่มต้นบริหารเอง ภายใต้การบริหารจัดการที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการลงทุน ดังนั้นในช่วงแรกจึงมองในเรื่องของการ M&A โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 นี้" นายสืบตระกูล กล่าว