ตลอดช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้ส่งสัญญาณการกลับเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งข่าวต่อตลาดหุ้นไทย แต่จะมีอิมแพคมากน้อยเพียงใดนั้นไปรับชมมุมมองจากนักวิเคราะห์ พร้อมกับกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
สำหรับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า ยังคงเห็นเม็ดเงินต่างชาติทยอยเข้าหุ้นไทยต่อ โดยซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 384 ล้านบาท และซื้อสุทธิผ่าน NVDR 2,071 ล้านบาท รวมถึงปริมาณการ SHORT SELL ยังอยู่ระดับต่ำ 3.45% คาดว่าฟันด์โฟลว์ยังมีโอกาสไหลเข้าต่อ
โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐกับไทยค่อยๆ แคบลงสอดคล้องกับการศึกษาข้อมูลในอดีตเวลา ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ไทยกับสหรัฐแคบลง ทำให้ฟันด์โฟลว์มักจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้น
ในทางกลับกับหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ไทยถูกสหรัฐทิ้งห่าง ฟันด์โฟลว์ก็มักจะไหลออกโดยทุกๆ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีแคบลง 0.05% ถึง 0.10% หนุนให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าได้ราว 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าส่วนต่าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีกว้างขึ้น 0.05% ถึง 0.10% จะกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออก 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในมุมของ VALUATION ตลาดหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินผลปี 67 อยู่ในระดับที่น่าสนใจ 4.1% คิดเป็นส่วนต่างอัตราผลตอบแทนเงินปันผล(DYG) 1.81% (เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 1 ปี 2.37%) เทียบเท่าได้กับดัชนีที่เหมาะสมเกิน 1400 จุด แต่หากลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง (DYG) จะเป็น 2.06% - 2.31% และระดัชนีตลาดที่เหมาะสมอยู่บริเวณ 1,450 - 1,500จุด ขึ้นไป ถือเป็นระดับที่จูงใจให้เม็ดเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยในประเทศไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหุ้นได้เช่นกัน
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหา 20 หุ้นใหญ่ที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลน่าซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศในช่วงนี้ ประกอบไปด้วย LH ที่ 8.6%, SCB ที่ 8.6%, TISCO ที่ 8.1%, EGCO ที่ 6.5%, TTB ที่ 6.4%, PTT ที่ 6.2%, RATCH ที่ 5.9%, BCP ที่ 5.9%, PTTEP ที่ 5.8%, KTB ที่ 5.3%, BBL ที่ 5.3%, KBANK ที่ 5.1%, TOP ที่ 4.7%, INTUCH ที่ 4.7%, TU ที่ 4.5%, HMPRO ที่ 4.4%, IVL ที่ 4.3%, ADVANC ที่ 4.3%, TLI ที่ 4.2% และ WHA ที่ 4.1%
อย่างไรก็ดี ทางเราได้คัดกรอง 6 หุ้นอัตราผลตอบแทนปันผลสูงที่สุด พร้อมกับพื้นฐานของธุรกิจและคาดการณ์จำนวนเงินปันผลอย่าง LH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับประมาณการณ์กำไรปี 67 ลงมาอยู่ที่ 6,699 ล้านบาท ลดลง 10.5% จากตลาดอสังหาฯในปัจจุบันยังคงอ่อนตัว เศรษฐกิจยังไม่เอื้อต่อกำลังซื้อและการตัดสินใจ
ทั้งนี้ แนะนำ ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังปี 67 ที่จะมีเปิดโครงการมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก และจะมีกำไรพิเศษจากการขายศูนย์การค้า 1 แห่งเข้ากอง REIT ในช่วงปลายปี จะช่วยให้ระดับกำไรสุทธิฟื้นตัวมากกว่าปัจจุบัน จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.10 บาท และคาดการณ์เงินปันผลปี 67 ที่ 0.45 บาท
ถัดมา SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิไตรมา 3/67 ยังคงลดลงช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า จากการลดลงของ NIM, การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) จากค่าใช้จ่ายด้อยค่าสินทรัพย์ของ Robinhood อย่างไรก็ดีคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 44,958 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
ดังนั้น แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 115 บาท เนื่องจากยังมีจุดเด่นเรื่องปันผลหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 8-10% ต่อปี ซึ่งสูงสุดในกลุ่มธนาคาร และคาดการณ์เงินปันผลในปี 2567 ที่ 7.94 บาท
ต่อมาที่ TISCO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่คาด จากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากดดันทั้งการขยายสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์และ NIM ลดลงจากต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น ทำให้มีกำไรสุทธิปี 67 จะลดลง 3.3% มาอยู่ที่ 7,063 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 99 บาท เพื่อรับเงินปันผล เนื่องบริษัทยังคงสามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลระดับสูง โดยคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูงที่ 7.8-8% ในปี 2567-2569 และคาดการณ์เงินปันผลในปีนี้จะอยู่ที่ 7.50 บาท
EGCO บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คาดกำไรในช่วงที่เหลือของปีเร่งตัวขึ้นจากโครงการHydro ในลาวตามปริมาณน้าเพิ่มขึ้นและการกลับมาเดินเครื่องปกติ(หลังหยุดซ่อมบารุง)ของโรงไฟฟ้าหลัก จึงปรับประมาณการกำไรปี 2567 เป็น 7,815 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 8,384 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากความคืบหน้าของธุรกิจเป็นไปด้วยดี จะสนับสนุนการเติบโตและความต่อเนื่องของกำไรใน 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ราคาหุ้น EGCO ยังไม่ได้สะท้อนประเด็นดังกล่าว ประกอบกับอัตราเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ซึ่งเป็นระดับน่าสนใจ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 150 บาท และคาดการณ์เงินปันผลปี 2567 ที่ 6.50 บาท
ถัดมา TTB บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.10 บาท จากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เร็วขึ้น และคาดการณ์ ROE ที่ 9.7 % ในปี 2569 จาก 8.2% ในปี 2566 จากการปรับสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ, เงินปันผลที่เพิ่มขึ้น และงบดุลที่รอบคอบ
ทั้งนี้ มองเป็นจังหวะดีในการซื้อหุ้น หลังจากราคาหุ้นลดลง ด้วยปัจจัยของการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อ่อนแอและกระทรวงการคลังขายหุ้นออกไป แต่อย่างไรก็ดี ยังมั่นใจการเติบโตของกำไรและเงินปันผล รวมไปถึงหุ้น TTB ซื้อขายที่ VALUATION ถูกกว่าธนาคารขนาดใหญ่ สำหรับคาดการณ์เงินปันผลปี 2567 จะอยู่ที่ 0.10 บาท
สุดท้าย PTT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 38 บาทโดยในระยะสั้นผลประกอบการไตรมาส 2/67 ยังไม่เด่นจากธุรกิจการกลั่นและค้าปลีกน้ำมันของบริษัทลูกชะลอตัวธุรกิจก๊าซของ PTT ได้รับผลกระทบจากนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ คาดการณ์เงินปันผลในปี 2567 ที่ 1.81 บาท