เทียบฟอร์ม BEM-BTS หุ้นรถไฟฟ้ามหาชน

หากพูดถึงระบบขนส่งมวลชนในประเทศที่มีความต้องการใช้ค่อนข้างสูงก็คงไม่พ้นระบบขนส่งราง ซึ่งแน่นอนว่าในตลาดทุนไทย 2 หุ้น ที่นักลงทุนจะต้องนึกถึงก็คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS 

ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลและมุมมองจากนักวิเคราะห์ถึงความน่าสนใจของทั้ง 2 บริษัท มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนมาให้ได้ตัดสินใจกันว่าหากต้องเลือกลงทุนตัวใดตัวหนึ่งหรือการจะเข้าลงทุนทั้งคู่ เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมหรือไม่

โดยเริ่มกัน BEM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 988 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 17% และจากช่วงเดียวกัน 10% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ จากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น ตามจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและผู้ใช้รฟฟ. สายสีน้ำเงิน รวมไปถึงรับเงินปันผลรับรวม 337 ล้านบาท จาก TTW และ CKP 

สำหรับ กำไรทั้งปี 2567 ที่ 3,961 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% จากรายได้ธุรกิจระบบรางที่เติบโตตามจำนวนผู้ใช้ รฟฟ.สายสีน้ำเงินที่จะเพิ่มขึ้น และการปรับราคาค่าโดยสารขึ้นจาก 17 - 43 บาท/เที่ยว เป็น 17 - 45 บาท/เที่ยว รวมไปถึงการเริ่มเปิดโครงการ One Bangkok คาดเปิดเต็มตัวภายในปีนี้และจะช่วยหนุน Traffic รฟฟ. สายสีน้ำเงิน

ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่ตอบรับข่าวดีผลประกอบการไตรมาส 2/67 ที่ทำจุดสูงสุดใหม่ และยังมีอัพไซด์ที่ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการได้แก่ โครงการทางด่วน Double Deck ที่คาดเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 3/67 และโครงการ รฟฟ. สายสีม่วงใต้คาดเห็นรายละเอียดเพิ่มเติมภายในช่วงสิ้นปีนี้

ขณะที่ BTS นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรไตรมาส 1/67-68 (เม.ย.-มิ.ย.67) จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานบริษัทร่วมดีขึ้น หลังการขายหุ้น KEX 18% ใน มี.ค.67 และ RABBIT ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของ SINGER 

แต่จะถูก offset บางส่วนจากผู้โดยสารสายสีเหลืองและสีชมพูทรงตัวต่ำ โดยเฉพาะสายสีเหลืองที่ได้รับผลกระทบจากการปิดซ่อมแซมบางสถานี อย่างไรก็ดี ยังคงกำไรปี 2567/2568 (เม.ย.67-มี.ค.68) ที่ 727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165%

ทั้งนี้ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท แม้ราคาเป้าหมายของเราจะกลับมามีอัพไซด์มากขึ้นจากราคาหุ้นปัจจุบัน แต่ยังคงต้องระมัดระวังประเด็นจากสายสีเหลืองและสีชมพูที่อาจฟื้นช้ากว่าคาดและประเด็นหนี้ O&M ที่ปัจจุบันยังอยู่ในกระบวนการศาล