Talk of The Town
KBANK งบ Q2 มีกำไรสุทธิ 1.26 หมื่นลบ.โต 15% ดันกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกปี 67 พุ่ง 20% รับรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
19 กรกฎาคม 2567
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK รายงานว่า ในใตรมาส 2 ปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 12,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามลดลง 6.18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง ในขณะที่รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คำใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ จำนวน 21,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.67%, โดยยังอยู่กายในกรอบการบริหารจัดการของธมาคาร และได้พิจารณาดังสั่งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credi loss: ECL) จํานวน 11.672 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน และรองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครลิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 151.87%
ขณะที่รายได้จากการดำเนินงามสุทธิมีจำนวน 50,429 ล้านบาท โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 1,060 ล้านบาท หรือ2.75% เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวตัวตัวช้า ไม่ทั่วถึง ประกอบกับการยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเพื่อช่วยหลือลูกค้าปัจจุบันที่เป็นกลุ่มเปราะบางให้สามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากในช่วงก่อน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 221 ล้านบาท หรือ 2.66% ส่วนหนึ่งจากจากค่าธรรมเนียมรับจากธุรกิจบัตร และค่าธรรมเนียมรับจากการรับรองตั๋ว อาวัลและค้ำประกัน แม้ว่ารายได้สุทธิจากการรับประกันกันภัยปรับตัวดีขึ้น
ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 21.888 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมทางการตลาดและการดำเนินงานตามทิศทางธุรกิจ รวมทั้งคำใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการให้บริการลูกค้า และส่วนหนึ่งจากเงินช่วยเหลือแทนความห่วงใยให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว โดยธนาคารมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายพนักงานภายใต้องค์รามของกรอบงบประมาณที่วางไว้ ส่งผลให้อัดราส่านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 43.40%
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 26,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 4,404 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ คำใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ จำนวน 21,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.67%, โดยยังอยู่กายในกรอบการบริหารจัดการของธมาคาร และได้พิจารณาดังสั่งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credi loss: ECL) จํานวน 11.672 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน และรองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครลิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 151.87%
ขณะที่รายได้จากการดำเนินงามสุทธิมีจำนวน 50,429 ล้านบาท โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 1,060 ล้านบาท หรือ2.75% เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวตัวตัวช้า ไม่ทั่วถึง ประกอบกับการยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเพื่อช่วยหลือลูกค้าปัจจุบันที่เป็นกลุ่มเปราะบางให้สามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากในช่วงก่อน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 221 ล้านบาท หรือ 2.66% ส่วนหนึ่งจากจากค่าธรรมเนียมรับจากธุรกิจบัตร และค่าธรรมเนียมรับจากการรับรองตั๋ว อาวัลและค้ำประกัน แม้ว่ารายได้สุทธิจากการรับประกันกันภัยปรับตัวดีขึ้น
ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ มีจำนวน 21.888 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมทางการตลาดและการดำเนินงานตามทิศทางธุรกิจ รวมทั้งคำใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการให้บริการลูกค้า และส่วนหนึ่งจากเงินช่วยเหลือแทนความห่วงใยให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว โดยธนาคารมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายพนักงานภายใต้องค์รามของกรอบงบประมาณที่วางไว้ ส่งผลให้อัดราส่านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 43.40%
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 26,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 4,404 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน