หลังจากที่นักลงทุนหลายคนไปเฝ้าติดตามการประกาศตัวเลขกำไรไตรมาส 2/67 ของกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์ไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในสัปดาห์นี้ก็มีหุ้นขวัญใจมหาชนอีกหลายบริษัทที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ซึ่งหนึ่งในก็คือหุ้นของกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และบริษัทลูกอีก 2 บริษัท
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการสำรวจและรวบรวมเกี่ยวกับคาดการณ์ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/67 ของกลุ่มดังกล่าว มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนได้ทราบกันในครั้งนี้
โดยเริ่มกันที่บริษัทแม่อย่าง SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรไตรมาส2/67 ที่ 3,487 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 57% ตามผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีโดยที่ปริมาณขายที่ลดลง, ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงเป็นส่วนใหญ่,และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้นแต่เพิ่มขึ้น 44% ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนต่างราคาบางผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น ส่วนไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจและกำไรที่มากขึ้นจากธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 315 บาท
ถัดมา SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ตัวเลขกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 6% ตามปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC และ Fibrous ที่ขยายตัวหลังได้อานิสงส์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
ขณะที่ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าลดลง 10% ถูกกดดันจากปริมาณขายบรรจุภัณฑ์รวมที่ลดลง ,อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC ลดลงจากต้นทุนกระดาษและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Fibrous ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี สำหรับกำไรครึ่งปีหลังปี 67 ยังคงลดลงจากช่วงเดียวกัน จากต้นทุนที่สูงขึ้นและรับรู้ผลขาดทุนเพิ่มเติมจาก Fajar
อย่างไรก็ดี ยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาวและนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจจีน ราคาเป้าหมาย 37 บาท
สุดท้าย SCGD นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 96% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 3% จากการลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตั้งแต่ปลายปี 2566 แม้แนวโน้มยอดขายชะลอลง
ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท เนื่องจากราคาหุ้นมีอัพไซด์เปิดกว้าง ด้วยปัจจุบันที่ซื้อขายบน P/E เพียงที่ 11.7 เท่า และในระยะสั้นได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มกําไรไตรมาส 2/67 ที่ขยายตัวทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกัน รวมไปถึงในไตรมาส 3/67 จะดีขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้น ในวันนี้ทางเราจึงได้ทำการสำรวจและรวบรวมเกี่ยวกับคาดการณ์ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/67 ของกลุ่มดังกล่าว มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนได้ทราบกันในครั้งนี้
โดยเริ่มกันที่บริษัทแม่อย่าง SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรไตรมาส2/67 ที่ 3,487 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน 57% ตามผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีโดยที่ปริมาณขายที่ลดลง, ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงเป็นส่วนใหญ่,และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้นแต่เพิ่มขึ้น 44% ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนต่างราคาบางผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น ส่วนไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจและกำไรที่มากขึ้นจากธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 315 บาท
ถัดมา SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ตัวเลขกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 6% ตามปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC และ Fibrous ที่ขยายตัวหลังได้อานิสงส์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
ขณะที่ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าลดลง 10% ถูกกดดันจากปริมาณขายบรรจุภัณฑ์รวมที่ลดลง ,อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC ลดลงจากต้นทุนกระดาษและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Fibrous ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี สำหรับกำไรครึ่งปีหลังปี 67 ยังคงลดลงจากช่วงเดียวกัน จากต้นทุนที่สูงขึ้นและรับรู้ผลขาดทุนเพิ่มเติมจาก Fajar
อย่างไรก็ดี ยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาวและนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจจีน ราคาเป้าหมาย 37 บาท
สุดท้าย SCGD นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 96% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 3% จากการลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตั้งแต่ปลายปี 2566 แม้แนวโน้มยอดขายชะลอลง
ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท เนื่องจากราคาหุ้นมีอัพไซด์เปิดกว้าง ด้วยปัจจุบันที่ซื้อขายบน P/E เพียงที่ 11.7 เท่า และในระยะสั้นได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มกําไรไตรมาส 2/67 ที่ขยายตัวทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกัน รวมไปถึงในไตรมาส 3/67 จะดีขึ้นต่อเนื่อง