Wealth Sharing
โบรกฯ สั่งขาย KKP หลังงบไตรมาส 2/67 ต่ำเกินคาด สินเชื่อรถยนต์ทำพิษ เสี่ยงทำ NPL พุ่ง
23 กรกฎาคม 2567
หลังจากที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/67 ออกมา ก็ทำให้นักลงทุนทั้งผิดหวังและสมหวัง แต่ก็มีหุ้นธนาคารบางตัวที่แม้แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับคำแนะนำในการลงทุน ซึ่งก็คือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับคำแนะนำ KKP ลงเป็น “ขาย” จากเดิมที่ “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 37 บาท จากมุมมองเชิงลบจากงบไตรมาส 2/67 ที่ต่ำกว่าคาดมากและการตั้งสำรองที่มากกว่าคาดเพราะสินเชื่อบ้าน, ธุรกิจโรงแรม และ SME มีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับผลขาดทุนรถยึดตามคาดอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.00% จากไตรมาสก่อนที่ 3.80% กำไรสุทธิครึ่งปีแรกปี 67 คิดเป็นเพียง 40% จากประมาณการทั้งปี ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ลง จากการปรับการเติบโตของสินเชื่อรวมลง และปรับ credit cost ที่รวมผลขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การลดลงราคาหุ้นในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 15% และ 18% เมื่อเทียบกับ SET ตามสภาวะของตลาดรถยนต์ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง ขณะที่มีความเสี่ยงจากแนวโน้ม NPLs ที่จะสูงขึ้นมากกว่าคาดจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการแข่งขันด้านราคาในระดับสูง รวมถึงสินเชื่อบ้านและ SME ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นที่มีกฎเกณฑ์ในการซื้อขายมากขึ้นซึ่งจะทำให้มูลค่าการซื้อขายลดลงมากกว่าคาด จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย”
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายเป็น 38 บาท เพราะตลาดเช่าซื้อมีปัญหาหนักซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP (45% ของสินเชื่อรวม) และคาดปัญหาตลาดเช่าซื้อกินระยะเวลานานโดยเฉพาะคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอทำให้กระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ
ดังนั้น จึงได้ปรับลดกำไรสุทธิปี 2567-2569 ลงปีละ 27-32%อยู่ที่ 4.06 พันล้านบาท, 4.27 พันล้านบาทและ 4.46 พันล้านบาท ตามลำดับ ตามการปรับสินเชื่อรวมลดลง, NIM ลดลง, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง และค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น โดยหลังจากการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 จะหดตัวลง 25%
สุดท้ายนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นลบต่อแผนธุรกิจ KKP ที่ยังเน้นดําเนินธุรกิจแบบระมัดระวังและมีการปรับลดเป้าหมายทางการเงินปี 2567 ลง ดังนั้น จึงได้อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ โดยประเมินว่าธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และตลาดทุนยังฟื้นตัวล่าช้าจึงยังแนะนํา “ขาย”
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับคำแนะนำ KKP ลงเป็น “ขาย” จากเดิมที่ “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 37 บาท จากมุมมองเชิงลบจากงบไตรมาส 2/67 ที่ต่ำกว่าคาดมากและการตั้งสำรองที่มากกว่าคาดเพราะสินเชื่อบ้าน, ธุรกิจโรงแรม และ SME มีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับผลขาดทุนรถยึดตามคาดอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.00% จากไตรมาสก่อนที่ 3.80% กำไรสุทธิครึ่งปีแรกปี 67 คิดเป็นเพียง 40% จากประมาณการทั้งปี ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ลง จากการปรับการเติบโตของสินเชื่อรวมลง และปรับ credit cost ที่รวมผลขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การลดลงราคาหุ้นในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 15% และ 18% เมื่อเทียบกับ SET ตามสภาวะของตลาดรถยนต์ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง ขณะที่มีความเสี่ยงจากแนวโน้ม NPLs ที่จะสูงขึ้นมากกว่าคาดจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการแข่งขันด้านราคาในระดับสูง รวมถึงสินเชื่อบ้านและ SME ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นที่มีกฎเกณฑ์ในการซื้อขายมากขึ้นซึ่งจะทำให้มูลค่าการซื้อขายลดลงมากกว่าคาด จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย”
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายเป็น 38 บาท เพราะตลาดเช่าซื้อมีปัญหาหนักซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP (45% ของสินเชื่อรวม) และคาดปัญหาตลาดเช่าซื้อกินระยะเวลานานโดยเฉพาะคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอทำให้กระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ
ดังนั้น จึงได้ปรับลดกำไรสุทธิปี 2567-2569 ลงปีละ 27-32%อยู่ที่ 4.06 พันล้านบาท, 4.27 พันล้านบาทและ 4.46 พันล้านบาท ตามลำดับ ตามการปรับสินเชื่อรวมลดลง, NIM ลดลง, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง และค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น โดยหลังจากการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 จะหดตัวลง 25%
สุดท้ายนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นลบต่อแผนธุรกิจ KKP ที่ยังเน้นดําเนินธุรกิจแบบระมัดระวังและมีการปรับลดเป้าหมายทางการเงินปี 2567 ลง ดังนั้น จึงได้อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ โดยประเมินว่าธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และตลาดทุนยังฟื้นตัวล่าช้าจึงยังแนะนํา “ขาย”