จับประเด็นหุ้นเด่น

สัมภาษณ์พิเศษ : SAFE ผู้นำเทคโนโลยีผู้มีบุตรยาก เน้นกลยุทธ์ “เพิ่มโอกาสท้อง-ลดการแท้ง-เด็กแข็งแรง”


23 กรกฎาคม 2567
ธุรกิจผู้มีบุตรยากนับเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตแรง ท่ามกลางกระแสประชากรที่เกิดน้อยลงในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งบมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ในฐานะผู้นำในธุรกิจผู้มีบุตรยากมองโอกาสนี้อย่างไร ไปติดตามมุมมองนี้กับ “นพ.วิวัฒน์  กว้างคณานุรักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 

รายงานพิเศษ SAFE ผู้นำเทคโนโลยีผู้มีบุตรยาก.jpg

ลักษณะธุรกิจของ SAFE  

เราให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ รวมทั้งให้บริการห้องปฏิบัติการทางด้านพันธุศาสตร์

แหล่งรายได้ของ SAFE

รายได้ของบริษัทมาจาก 3 เสาหลัก ได้แก่ 

1.ภาวะการเจริญพันธุ์ หรือผู้มีบุตรยาก มีสัดส่วนประมาณ 75%   

2.ธุรกิจการตรวจแล็บหรือโครโมโซมในตัวอ่อน  มีสัดส่วนประมาณ 25% 

3.ธุรกิจเรื่องความงามหรือเอจจิ้ง ซึ่งเป็นธุรกิจน้องใหม่ มีสัดส่วนประมาณ 1% 

ลูกค้าของบริษัท

เป็นคนไทย 55% ต่างประเทศ 45%  โดยมาจาก จีน ,  ญี่ปุ่น , สิงคโปร์ ,  อินเดีย , เวียดนาม และกัมพูชา (ไม่ได้เรียงลำดับตามสัดส่วนการใช้บริการ) 

สาขาของบริษัทในปัจจุบัน

ปัจจุบันมี  5 สาขา ได้แก่  ตึกอัมรินทร์ รามอินทรา  ขอนแก่น ภูเก็ต และ ศรีราชา โดยสาขาที่ลูกค้าต่างประเทศใช้บริการมากที่สุด จะเป็นที่สาขาในตึกอัมรินทร์   และบริษัทจะทำที่นี่ให้เหมือนโรงแรม 5 ดาว โดยมีล่าม  มีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อต้อนรับคนต่างชาติได้ครบถ้วน 

กลยุทธ์ของ SAFE ในการรองรับการแข่งขันที่รุนแรง

สิ่งที่สำคัญของการทำ คลินิก  โรงพยาบาล หรือหน่วยงานทางการแพทย์ จะให้ความสำคัญใน 2 เรื่องได้แก่ เรื่องของเทคโนโลยีและการให้บริการ เรื่องของวิทยาการและเทคโนโลยี  SAFE  ถือว่าเป็นผู้นำในเรื่องนี้มาโดยตลอด  เช่น การตรวจโครโมโซม  24 คู่  บริษัทเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2011การนำตู้อบแบบปิดเพื่อเลี้ยงตัวอ่อน มีกล้องที่คอยติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนตลอดเวลาเรานำมาใช้ตั้งแต่ปี 2013 การตรวจโครโมโซมที่เรียกว่า NGS  เรานำมาใช้ตั้งแต่ปี 2014  

ปัจจุบัน 2024  เรามีการนำเทคโนโลยีใหม่ PGTSeqA มาช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่สุด ที่บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจ 

ด้านบริการ  SAFE ได้มีการปรับปรุงตลอดเวลาทั้งเรื่องของ Facility ความสะอาด ความมั่นใจ ความปลอดภัย และเมื่อคนไข้ได้พบกับผู้ดูแล  ที่มีความรู้พร้อมให้คำปรึกษา     

เป้าหมายผลงานปี 2567  

เราคาดการณ์ว่า การเติบโตของรายได้อยู่ที่ 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยหลักๆมาจาก 1. ธุรกิจการมีบุตรยาก และ 2.  การตรวจโครโมโซม ส่วนธุรกิจที่ความงาม เชื่อว่าค่อยๆเติบโต แต่ยังไม่มีสัดส่วนที่สูงมาก

อัตราความสำเร็จที่คนไข้มีบุตร

ปกติอัตราความสำเร็จของ SAFE อยู่ที่ 70% และถ้าคุณแม่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ทำได้ถึง 80%  

สถานการณ์ความต้องการมีบุตรในปัจจุบัน

มี 2 กลุ่ม  คือกลุ่มคนที่อยากมีลูกและไม่อยากมีลูก โดยคนที่อยากมีลูกเป็นกลุ่มคนที่มีสถานะการเงิน การงาน มั่นคง  ขณะที่คนที่ไม่อยากมีลูกจะเป็นกลุ่มคนที่ช่วงแรกยังไม่มีความพร้อม แต่พออายุมาก มีฐานะมั่นคง ก็มีความต้องการที่จะมีลูก  ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องใช้เทคโนโลยีและการบริการทางการแพทย์เข้าไปช่วยในการตั้งครรภ์ แต่ปัจจุบันแนวทางที่จะช่วยเรื่องการมีบุตรทำได้ง่ายขึ้น คือ การใช้วิธีการฝากไข่ 

แนวทางการฝากไข่ 

SAFE  ได้ใช้เทคโนโลยีการแช่แข็งไข่ ในปี 2011 เรามีการแช่แข็งไข่แล้วหลายพันเคส และมีเด็กที่เกิดจากไข่แช่แข็งมากว่า 100  คน  ซึ่งสะท้อนว่าโปรแกรมการแช่แข็งไข่ของเรามีประสิทธิภาพ 

การทำตลาดกับลูกค้าต่างประเทศ

ลูกค้าของเรามาจากการพูดปากต่อปากมากที่สุด เพราะการที่จะมาฝากไข่ จากต่างประเทศต้องมีความมั่นใจว่า ไข่ที่ละลายออกมาต้องมีคุณภาพดี มีโอกาสสูงที่จะได้เด็กกลับบ้าน ดังนั้นSAFE จะเน้นช่องทางการพูดถึงของหมอที่มีคอนเน็ทชั่น  รวมทั้งบางประเทศการแช่แข็งไข่ยังผิดกฎหมาย เช่น ประเทศจีน 

SAFE เน้นการลงทุนที่มีปรัชญาการทำธุรกิจคล้ายกัน

ตั้งแต่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทมีเงินสดเข้ามา รวมทั้งธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดมาก จะมีคนเข้ามาติดต่อเสมอ เรากำลังพิจารณา ระมัดระวังในการลงทุน โดยเน้นคนที่มีปรัชญาในการทำธุรกิจที่คล้ายกัน 

เทคโนโลยีใหม่ PGTSeqA จะช่วยสร้างรายได้ให้ SAFE 

เทคโนโลยีนี้ที่เรานำเข้ามา ส่วนหนึ่งเป็นการให้บริการคนไข้ของ SAFE เอง กับอีกส่วนจะให้บริการกับลูกค้าที่ส่งตัวอ่อนมาตรวจกับเรา ซึ่งจะช่วยให้ SAFE และ NGT โตขึ้น 

ข้อเด่นของเทคโนโลยีนี้ 

1. การตรวจตัวอ่อนมีความแม่นยำมากขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ 

2. การตรวจคัดเลือกตัวอ่อนที่ปกติมีความแม่นยำขึ้น 

3. จำนวนจุดที่ตรวจตัวอ่อนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็น 2 ล้านจุด จากเดิมที่ตรวจ 3 แสนจุด 

SAFE จะเห็นการสร้างรายได้ของ PGTSeqA  

ตั้งแต่ไตรมาส 3/ 67  จะเห็นการสร้างรายได้ ซึ่งบริษัทคาดหวังมากว่าจะเทคโนโลยีนี้จะช่วยการเติบโตและสร้างรายได้ ที่ค่อนข้างสูง

วางแผนในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า 

เราเชื่อว่าภาวะผู้มีบุตรยากทั่วโลกยังเติบโตได้ดี รัฐบาลไทยก็พยายามผลักดันให้คนมีลูก มีเรื่องสิทธิประโยชน์หลายด้าน ทั้งภาษี  การช่วยตรวจเรื่องมีบุตรยาก รวมทั้ง SAFE  มีการบริหารจัดการที่ดี มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ทั้งแพทย์  นักวิทยาศาสตร์  เจ้าหน้าที่  ผู้บริหาร ซึ่งมั่นใจได้ว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง 

การติดในหลักทรัพย์ ESG Emerging List 

เรามีความตั้งใจที่ให้ SAFE เป็นบริษัทมีการบริหารจัดการที่โปร่งใส่ มีคุณธรรม และมีการดูแลสิ่งแวดล้อม เราเองก็พยายามให้เรามี ESG เชื่อว่า การยอมรับในเรื่องลดโลกร้อนจะมาแรง เชื่อว่านักลงทุนไทยจะซื้อหุ้นที่ลงทุนใน ESG มากขึ้น