จับประเด็นหุ้นเด่น
สัมภาษณ์พิเศษ : SFLEX เน้นผลิตสินค้ามีนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม-ยันทำผลงานนิวไฮต่อเนื่อง
24 กรกฎาคม 2567
“บรรจุภัณฑ์” นับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสินค้า สอดคล้องกับธุรกิจ บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค จะมีแนวทางการเติบโตและมีกลยุทธ์อย่างไร ไปติดตามมุมมองนี้กับ “ ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ธุรกิจที่ทำ
SFLEX ก่อตั้งมา 22 ปี ทำบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน เราทำโปรดักส์ให้กับสินค้า ประเภท แชมพู ยาสระผม น้ำยาล้างจาน และอื่นๆอีกหลายประเภท ในห้าง supermarket ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราผลิต
สัดส่วนลูกค้าของเรา
SFLEX ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทข้ามชาติ เช่น บริษัทยูนิลีเวอร์ ซึ่งมีโปรดักส์หลากหลาย ซึ่งขั้นตอนในการเข้าเป็นซับพลายเออร์กับบริษัทเหล่านี้ เป็นเรื่องซับซ้อน แต่หากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าก็จะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการกันยาวๆ ดังนั้นSFLEX ทำธุรกิจต้องมีความไว้วางใจสูง โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่ให้ความไว้วางใจ ซึ่งส่งผลดีทำให้บริษัทมีมาตรฐาน สามารถทำธุรกิจให้กับทุกบริษัทได้ในประเทศไทย
สัดส่วน
แบ่งเป็น 2 ส่วน กลุ่มน้ำยา มีสัดส่วน 78-80 % อีก 20 % เป็นกลุ่มของ Food หรือ Medical ซึ่งอนาคตเรามองบรรจุภัณฑ์ของ Food มากขึ้น เพราะมีความหลากหลาย มียอดการใช้ในแต่ละครัวเรือนมากกว่าน้ำยา และเป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งแม้เราจะชำนาญเรื่องน้ำยามาก่อน แต่มีเป้าหมายในอนาคตที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร เพราะเรามีบริษัท Join venture กับไทยยูเนี่ยน (TU) ทำให้ได้เรื่องMega trend เรื่องอาหาร เพราะTU ก็มีผลิตภัณฑ์อาหารและมีventure ทั่วโลก
ความคืบหน้าการร่วมมือกับ TU
ปัจจุบันโรงงานเกือบสร้างเสร็จแล้ว คิดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วง Q4/67 ส่วนปี 2568ก็จะดำเนินการได้เต็มรูปแบบ
ทิศทางผลดำเนินงาน
3 เดือนแรกทำ All Time high ซึ่งเป็นการทำได้ติดต่อกัน 7 ไตรมาส เรามีความยากลำบากในไตรมาส 2และ 3 ปี 2565 จากราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบเรือขนส่งสินค้า หลังจากนี้ไตรมาส 4 ปี 65 และตลอดทั้งปี 66 และไตรมาส 1/67 เราทำผลงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีนี้ ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ผลประกอบการที่ดี 7 ไตรมาส มาจากอะไร
1. ยอดขายบริษัทต้องการสร้างคุณภาพของยอดขาย โดยไม่ได้ต้องการการเติบโตที่สูง 10-20% แต่เราต้องการลูกค้าที่มีโปรดักส์ที่เหมาะสมกับเครื่องจักรที่เรามี หรือสินค้าที่บริษัทมีความชำนาญ ดังนั้นจะเห็นว่ายอดขายSFLEX ไม่ได้เติบโตมาก แต่กำไรเติบโตได้ดี
2. พนักงานของบริษัท โดยบริษัทปลูกฝังในเรื่องของของเสียที่ต้องมีให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ทำลายธรรมชาติ จะเห็นว่า ของเสียของบริษัทมีสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม และการทำให้พนักงานรู้สึกว่าโรงงานเป็นบ้านหลังที่ 2 ของพนักงาน ทำให้พนักงานรักบริษัท
มองการแข่งขันในตลาดอย่างไร
เนื่องจากในปี 2025 เป็นปีที่ Product ทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนให้เป็น Mono material ให้รีไซเคิลได้ ดังนั้นทุกคนจะต้องเน้นเรื่อง Innovation มากกว่าการแข่งขันเรื่องราคา ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำการยกระดับอุตสาหกรรมม Packing ให้สูงขึ้น จึงเชื่อว่าบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมจะเน้นเรื่องของการพัฒนามากกว่าการแข่งขันเรื่องราคา ซึ่งการเน้นInnovation ทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 12% แม้จะทำให้ลูกค้าสนใจแต่เป็นต้นทุนที่ทำให้ลูกค้าของเรายังไม่ตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยน โดยสัดส่วนที่ลูกค้าน่าจะยอมรับได้อยู่ที่ 6-8% โดยตัวเลขนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าพร้อมใจกันปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ จะทำให้เกิด Economy of scale ส่งผลให้เจ้าของผลิตภัณฑ์พร้อมใจกันปรับเปลี่ยน Product
ซึ่งปัจจุบัน SFLEX พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีการวางแผนมาพอสมควรแล้ว เนื่องจากPacking เป็นส่วนที่สำคัญของ Product ถ้าไม่มีการพัฒนาก็จะกระทบต่อการขายสินค้า
ปี2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ที่เห็นอย่างชัดเจนคือการลงทุนร่วมกับ SCGP ในประเทศเวียดนาม ซึ่งโรงงานที่เราร่วมกันเป็นโรงงานบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ เป็นกล่องกระดาษที่เป็นHi End โดยเมื่อใส่สินค้าแล้วจะไม่กล้าทิ้งกล่องที่ใส่ ซึ่งที่เวียดนามเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม เนื่องจากการทำบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้จะต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก และเป็นแรงงานที่มีคุณภาพเหมือนเทียบกับค่าแรงที่ต้องจ่าย
วางเป้าหมายในช่วง 3-5 ปี อย่างไร
กลยุทธ์ที่เรามองในอนาคต เรามีปลายน้ำ คือการร่วมมือกับTU ในการทำบรรจุภัณฑ์ด้านอาหาร กลางน้ำมี พันธมิตรที่ทำธุรกิจในเวียดนาม คือ SCGP ส่วนต้นน้ำ คือผู้ผลิตผลิตฟิลม์ ซึ่งเรามีการทำงานกันอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นส่วนที่สำคัญในการผลิต packing โดยเราเชื่อว่า ถ้าเรามีพันธมิตรที่ดี ทั้งปลายน้ำ กลางน้ำ และต้นน้ำ จะทำให้เรามีระบบนิเวศน์ ที่สร้างความสามารถในการแข่งขันได้
นอกจากการลงทุนในเวียดนามเราสนใจลงทุนประเทศไหนอีก
เราอยากไปอินโดนีเซีย โดยอาจไปทำธุรกิจร่วมกับ SCGP ที่เป็นพันธมิตร ซึ่งขณะนี้ขอดูการร่วมมือที่เวียดนามก่อนเป็นเวลา 1-2 ปี
ธุรกิจที่ทำ
SFLEX ก่อตั้งมา 22 ปี ทำบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน เราทำโปรดักส์ให้กับสินค้า ประเภท แชมพู ยาสระผม น้ำยาล้างจาน และอื่นๆอีกหลายประเภท ในห้าง supermarket ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราผลิต
สัดส่วนลูกค้าของเรา
SFLEX ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทข้ามชาติ เช่น บริษัทยูนิลีเวอร์ ซึ่งมีโปรดักส์หลากหลาย ซึ่งขั้นตอนในการเข้าเป็นซับพลายเออร์กับบริษัทเหล่านี้ เป็นเรื่องซับซ้อน แต่หากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าก็จะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการกันยาวๆ ดังนั้นSFLEX ทำธุรกิจต้องมีความไว้วางใจสูง โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่ให้ความไว้วางใจ ซึ่งส่งผลดีทำให้บริษัทมีมาตรฐาน สามารถทำธุรกิจให้กับทุกบริษัทได้ในประเทศไทย
สัดส่วน
แบ่งเป็น 2 ส่วน กลุ่มน้ำยา มีสัดส่วน 78-80 % อีก 20 % เป็นกลุ่มของ Food หรือ Medical ซึ่งอนาคตเรามองบรรจุภัณฑ์ของ Food มากขึ้น เพราะมีความหลากหลาย มียอดการใช้ในแต่ละครัวเรือนมากกว่าน้ำยา และเป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งแม้เราจะชำนาญเรื่องน้ำยามาก่อน แต่มีเป้าหมายในอนาคตที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร เพราะเรามีบริษัท Join venture กับไทยยูเนี่ยน (TU) ทำให้ได้เรื่องMega trend เรื่องอาหาร เพราะTU ก็มีผลิตภัณฑ์อาหารและมีventure ทั่วโลก
ความคืบหน้าการร่วมมือกับ TU
ปัจจุบันโรงงานเกือบสร้างเสร็จแล้ว คิดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วง Q4/67 ส่วนปี 2568ก็จะดำเนินการได้เต็มรูปแบบ
ทิศทางผลดำเนินงาน
3 เดือนแรกทำ All Time high ซึ่งเป็นการทำได้ติดต่อกัน 7 ไตรมาส เรามีความยากลำบากในไตรมาส 2และ 3 ปี 2565 จากราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบเรือขนส่งสินค้า หลังจากนี้ไตรมาส 4 ปี 65 และตลอดทั้งปี 66 และไตรมาส 1/67 เราทำผลงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีนี้ ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ผลประกอบการที่ดี 7 ไตรมาส มาจากอะไร
1. ยอดขายบริษัทต้องการสร้างคุณภาพของยอดขาย โดยไม่ได้ต้องการการเติบโตที่สูง 10-20% แต่เราต้องการลูกค้าที่มีโปรดักส์ที่เหมาะสมกับเครื่องจักรที่เรามี หรือสินค้าที่บริษัทมีความชำนาญ ดังนั้นจะเห็นว่ายอดขายSFLEX ไม่ได้เติบโตมาก แต่กำไรเติบโตได้ดี
2. พนักงานของบริษัท โดยบริษัทปลูกฝังในเรื่องของของเสียที่ต้องมีให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ทำลายธรรมชาติ จะเห็นว่า ของเสียของบริษัทมีสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม และการทำให้พนักงานรู้สึกว่าโรงงานเป็นบ้านหลังที่ 2 ของพนักงาน ทำให้พนักงานรักบริษัท
มองการแข่งขันในตลาดอย่างไร
เนื่องจากในปี 2025 เป็นปีที่ Product ทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนให้เป็น Mono material ให้รีไซเคิลได้ ดังนั้นทุกคนจะต้องเน้นเรื่อง Innovation มากกว่าการแข่งขันเรื่องราคา ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำการยกระดับอุตสาหกรรมม Packing ให้สูงขึ้น จึงเชื่อว่าบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมจะเน้นเรื่องของการพัฒนามากกว่าการแข่งขันเรื่องราคา ซึ่งการเน้นInnovation ทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 12% แม้จะทำให้ลูกค้าสนใจแต่เป็นต้นทุนที่ทำให้ลูกค้าของเรายังไม่ตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยน โดยสัดส่วนที่ลูกค้าน่าจะยอมรับได้อยู่ที่ 6-8% โดยตัวเลขนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าพร้อมใจกันปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ จะทำให้เกิด Economy of scale ส่งผลให้เจ้าของผลิตภัณฑ์พร้อมใจกันปรับเปลี่ยน Product
ซึ่งปัจจุบัน SFLEX พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีการวางแผนมาพอสมควรแล้ว เนื่องจากPacking เป็นส่วนที่สำคัญของ Product ถ้าไม่มีการพัฒนาก็จะกระทบต่อการขายสินค้า
ปี2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ที่เห็นอย่างชัดเจนคือการลงทุนร่วมกับ SCGP ในประเทศเวียดนาม ซึ่งโรงงานที่เราร่วมกันเป็นโรงงานบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ เป็นกล่องกระดาษที่เป็นHi End โดยเมื่อใส่สินค้าแล้วจะไม่กล้าทิ้งกล่องที่ใส่ ซึ่งที่เวียดนามเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม เนื่องจากการทำบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้จะต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก และเป็นแรงงานที่มีคุณภาพเหมือนเทียบกับค่าแรงที่ต้องจ่าย
วางเป้าหมายในช่วง 3-5 ปี อย่างไร
กลยุทธ์ที่เรามองในอนาคต เรามีปลายน้ำ คือการร่วมมือกับTU ในการทำบรรจุภัณฑ์ด้านอาหาร กลางน้ำมี พันธมิตรที่ทำธุรกิจในเวียดนาม คือ SCGP ส่วนต้นน้ำ คือผู้ผลิตผลิตฟิลม์ ซึ่งเรามีการทำงานกันอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นส่วนที่สำคัญในการผลิต packing โดยเราเชื่อว่า ถ้าเรามีพันธมิตรที่ดี ทั้งปลายน้ำ กลางน้ำ และต้นน้ำ จะทำให้เรามีระบบนิเวศน์ ที่สร้างความสามารถในการแข่งขันได้
นอกจากการลงทุนในเวียดนามเราสนใจลงทุนประเทศไหนอีก
เราอยากไปอินโดนีเซีย โดยอาจไปทำธุรกิจร่วมกับ SCGP ที่เป็นพันธมิตร ซึ่งขณะนี้ขอดูการร่วมมือที่เวียดนามก่อนเป็นเวลา 1-2 ปี