บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อกัน 3 วัน แม้จำนวนไม่มากแต่เป็นสัญญาณที่ดี หลังเงินบาทกลับมาอยู่ในโซนแข็งค่า ขณะที่ภาพข้างหน้า SET ได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐฯที่เร่งตัว, Digital Wallet และแรงกดดัน Short-sell ที่ลดลง
โดยหากดูหุ้น 20 อันดับแรกที่ต่างชาติซื้อสะสมมากสุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-19 ก.ค. 24) พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีปัจจัยหนุนรายตัว รวมถึงหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาอยู่โซนล่าง แนะนำ “ซื้อ” GULF DELTA CPF BEM ADVANC SPRC BH
โดยเริ่มที่ GULF นักวิเคราะห์มองว่า จากประเด็นการควบรวมบริษัทกับ บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ขึ้นเป็นบริษัทมหาชนใหม่ (NeWCo) มองแผนการควบรวมนี้เป็นบากต่อ GULF เพราะจะได้สัดส่วนในธุรกิจโทรคม ที่มี ROE สูงกว่าเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ฐานทุนที่ใหญ่ขึ้นหลังการควบรวมจะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทในการหาโอการธุรกิจไหมในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานอื่นซึ่งดูจะอยู่ในช่วงที่ต้องการเงินลงทุนมาก
และจากการที่เรามองว่าตัดส่วนการจัดธรรรหุ้นถูกกำหนดมาบนราคาลาดปัจจุบันของหุ้น GULF และ INTUCH (อิงราคาวันที่ 16 ก.ค. 2024) ผู้ถือหุ้น GULF ดูจะได้เปรียบมากกว่าจากตัดส่วนนี้เนื่องจากปัจจุบันหุ้น GULF ซื้อขายที่มูลค่าพื้นฐาน (PE) สูงเทียบกับราคาหุ้น INTUCH ที่อยู่ใกล้เดียงมูลค่า NAV ของการลงทุนรวมของบริษัท
ขณะที่มุมมองต่อหุ้น DELTA ปรับเพิ่มคําแนะนํา DELTA เป็น “ซื้อ” (จาก ขาย) ด้วยเห็นปัจจัยหลักผลักดัน 2 ประการ และปรับกําไรของเราขึ้น 8/43/60% ในปี 67-69 และปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปีฐาน 68 เป็น 115 บาท (จาก 60 บาท)
1) DELTA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Delta Group กําลังอยู่ในเทรนด์ AI ที่กําลังเติบโต บริษัทฯ ประสบความสําเร็จในการได้งานบางส่วนจาก NVIDIA ผู้ผลิตอุปกรณ์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2) เราคาดว่า DELTA จะได้ประโยชน์จากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นใน ไต้หวันซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ผ่านคําสั่งซื้อไปยัง DELTA ประเทศไทยที่มากขึ้น
3) เราชอบที่ DELTA มาถูกทางด้วยมีผลิตภัณฑ์ ได้แก่ data centers, AI และ EV และ 4) เราเชื่อว่า การซื้อขายที่ PE ที่สูงนั้น สมเหตุสมผลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และอยู่ ในอุตสาหกรรมที่เป็นกระแส และมีการเติบโตของ EPS ที่แข็งแกร่ง และ ยั่งยืนด้วยเติบ
มาต่อกันที่ BEM คณะรัฐมนตรีรับทราบสัญญาสัมปทานระหว่าง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ สำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าลายสีส้มตะวันออกและตะวันตก
ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับ BEM และเราได้รวมโครงการนี้ในประมาณการของเราแล้วเรายังคงแนะนำ "ซื้อ" BEM ราคาเป้าหมายที่ 11 บาท เนื่องจาก 1) เราคาดว่าการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารและยอดการใช้ทางด่วนจะยังคงผลักดันให้กำไรสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 67-69 และ 2) นอกจากโครงการสายสีส้มแล้ว BEM ยังมีโครงการที่มีศักยภาพสูงอีก 2 โครงการ ได้แก่ ทางด่วนสองชั้น และส่วนต่อขยายสายสีม่วง ซึ่งคาดว่าจะ BEM จะได้โครงการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สำหรับ CPF นักวิเคราะห์ระบุว่า กำไรในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 335% จากปีก่อน เนื่องจากราคาสุกรที่จีนและเวียดนามปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3/67 กำไรยังคเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน คาดจะอยู่ที่ระดับ 4พันล้านบาท เพราะราคาสุกรที่เวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 50%
ทั้งนี้ด้วยรายได้ 54% มาจากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรราคาหุ้นจึงปรับตัวตามราคาเนื้อสัตว์และการเปลี่ยนแปลงของกำไรรายไตรมาส ราคาสุกรที่สูงอย่างยั่งยืนในเวียดนาม จีน และราคาสุกรของไทยที่มีแนวโน้มดีใน ครึ่งหลังของปี 67 และกำไรที่คาดว่าจะแข็งแกร่งในไตรมาส 2 และ 3 จึงเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นของ CPF แนะนำ "ซื้อ"
ส่วน ADVANC นักวิเคราะห์คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 2/67 ออกมาที่ 8.1 พันล้านบาท เทียบเป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 13% จากปีก่อน แม้หดตัว 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การฟื้นตัว ARPU ของการให้บริการโทรศัพท์มือถือหลังการควบรวมในอุตสาหกรรมยังเป็นปัจจัยหนุนหลักของการเติบโตจากปีก่อนแต่เนื่องจาก ADVANC ส่งสัญญาณว่าจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่สูงกว่าปกติในไตรมาสนี้ เราจึงประเมินว่ากำไรอาจดดตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ADVANC บนแนวโน้มกำไรที่เติบโตแข็งแกร่ง หนุนโดย ARPU ที่ยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้าและรายได้หลังควบรวมกิจการอินเตอร์เน็ตบ้านและประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุนจากการควบรวม TTTBB เข้ามา และเนื่องจากคาดการณ์กำไรรวมครึ่งแรกปี 67 เทียบได้เป็น 51% ของประมาณการทั้งปีของเรา เราจึงยังคงประมาณการณ์และราคาเป้าหมาย ADVANC ของเราไว้ตามเดิม
ด้าน SPRC นักวิเคราะห์มองว่า จากประเด็นที่ SPRC รายงานกำไรสุทธิ 3.9 พันลบ. ในไตรมาส 1/67 เทียบกับขาดทุนสุทธิ 4.6 พันลบ. ในไตรมาส 4/66 และ 1.2 พันลบ. ในไตรมาส 1/66 การดำเนินงานดีขึ้นเป็นผลมาจาก GRM ที่สูงขึ้น รวมถึงการบันทึกกำไรจากสต็อก ผลการดำเนินงานสูงกว่าประมาณการของเรา 13%เนื่องจากมีการบันทึกด่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน USS19m
แนวโน้มคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/67 จะลดลงจาก GRM ที่ลดลงอย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรในปีนี้
ปิดท้ายที่ BH นักวิเคราะห์มองว่าจากการที่ BH รายงานกำไรไตรมาส 167 สูงเป็นประวัติการณ์และแข็งแกร่งที่ 2 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยผลักตันที่สำคัญคืออัตรากำไรขั้นต้นเนื่องจากอำนาจต่อรองราคาที่แข็งแกร่งและการควบคุมต้มต้นทนอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราขึ้น 67-69 และราคาเป้าหมายพื้นฐานปี 67 เป็น 310 บาท จาก 300 บาท เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" BH โดย
1) BH ถูก de-rated มากแล้วในมองของเรา การซื้อขายที่ PE ที่ 24.6 เท่า เทียบกับการเติบโตของ PE 15.5% เรามองว่าน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับ PE ในช่วง 5 ปีก่อนโควิดที่ 38.9 เท่า เทียบกับการเติบโตของ EPS เฉลี่ยที่ 8% ปัจจุบัน ROE ยังสูงกว่าเมื่อก่อนมากที่ 31% เทียบกับในอดีตที่ 25%
2) BH เป็นบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่ระดับ ROE ดังกล่าว และ 3)โรงพยาบาลใหม่ในภูเก็ตจะเปิดในปี 69 ดังนั้น จึงไม่มีผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญในอีกสองปีข้างหน้า
โดยหากดูหุ้น 20 อันดับแรกที่ต่างชาติซื้อสะสมมากสุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-19 ก.ค. 24) พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีปัจจัยหนุนรายตัว รวมถึงหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาอยู่โซนล่าง แนะนำ “ซื้อ” GULF DELTA CPF BEM ADVANC SPRC BH
โดยเริ่มที่ GULF นักวิเคราะห์มองว่า จากประเด็นการควบรวมบริษัทกับ บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ขึ้นเป็นบริษัทมหาชนใหม่ (NeWCo) มองแผนการควบรวมนี้เป็นบากต่อ GULF เพราะจะได้สัดส่วนในธุรกิจโทรคม ที่มี ROE สูงกว่าเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ฐานทุนที่ใหญ่ขึ้นหลังการควบรวมจะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทในการหาโอการธุรกิจไหมในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานอื่นซึ่งดูจะอยู่ในช่วงที่ต้องการเงินลงทุนมาก
และจากการที่เรามองว่าตัดส่วนการจัดธรรรหุ้นถูกกำหนดมาบนราคาลาดปัจจุบันของหุ้น GULF และ INTUCH (อิงราคาวันที่ 16 ก.ค. 2024) ผู้ถือหุ้น GULF ดูจะได้เปรียบมากกว่าจากตัดส่วนนี้เนื่องจากปัจจุบันหุ้น GULF ซื้อขายที่มูลค่าพื้นฐาน (PE) สูงเทียบกับราคาหุ้น INTUCH ที่อยู่ใกล้เดียงมูลค่า NAV ของการลงทุนรวมของบริษัท
ขณะที่มุมมองต่อหุ้น DELTA ปรับเพิ่มคําแนะนํา DELTA เป็น “ซื้อ” (จาก ขาย) ด้วยเห็นปัจจัยหลักผลักดัน 2 ประการ และปรับกําไรของเราขึ้น 8/43/60% ในปี 67-69 และปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปีฐาน 68 เป็น 115 บาท (จาก 60 บาท)
1) DELTA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Delta Group กําลังอยู่ในเทรนด์ AI ที่กําลังเติบโต บริษัทฯ ประสบความสําเร็จในการได้งานบางส่วนจาก NVIDIA ผู้ผลิตอุปกรณ์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2) เราคาดว่า DELTA จะได้ประโยชน์จากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นใน ไต้หวันซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ผ่านคําสั่งซื้อไปยัง DELTA ประเทศไทยที่มากขึ้น
3) เราชอบที่ DELTA มาถูกทางด้วยมีผลิตภัณฑ์ ได้แก่ data centers, AI และ EV และ 4) เราเชื่อว่า การซื้อขายที่ PE ที่สูงนั้น สมเหตุสมผลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และอยู่ ในอุตสาหกรรมที่เป็นกระแส และมีการเติบโตของ EPS ที่แข็งแกร่ง และ ยั่งยืนด้วยเติบ
มาต่อกันที่ BEM คณะรัฐมนตรีรับทราบสัญญาสัมปทานระหว่าง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ สำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าลายสีส้มตะวันออกและตะวันตก
ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับ BEM และเราได้รวมโครงการนี้ในประมาณการของเราแล้วเรายังคงแนะนำ "ซื้อ" BEM ราคาเป้าหมายที่ 11 บาท เนื่องจาก 1) เราคาดว่าการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารและยอดการใช้ทางด่วนจะยังคงผลักดันให้กำไรสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 67-69 และ 2) นอกจากโครงการสายสีส้มแล้ว BEM ยังมีโครงการที่มีศักยภาพสูงอีก 2 โครงการ ได้แก่ ทางด่วนสองชั้น และส่วนต่อขยายสายสีม่วง ซึ่งคาดว่าจะ BEM จะได้โครงการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สำหรับ CPF นักวิเคราะห์ระบุว่า กำไรในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 335% จากปีก่อน เนื่องจากราคาสุกรที่จีนและเวียดนามปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3/67 กำไรยังคเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน คาดจะอยู่ที่ระดับ 4พันล้านบาท เพราะราคาสุกรที่เวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 50%
ทั้งนี้ด้วยรายได้ 54% มาจากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรราคาหุ้นจึงปรับตัวตามราคาเนื้อสัตว์และการเปลี่ยนแปลงของกำไรรายไตรมาส ราคาสุกรที่สูงอย่างยั่งยืนในเวียดนาม จีน และราคาสุกรของไทยที่มีแนวโน้มดีใน ครึ่งหลังของปี 67 และกำไรที่คาดว่าจะแข็งแกร่งในไตรมาส 2 และ 3 จึงเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นของ CPF แนะนำ "ซื้อ"
ส่วน ADVANC นักวิเคราะห์คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 2/67 ออกมาที่ 8.1 พันล้านบาท เทียบเป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 13% จากปีก่อน แม้หดตัว 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การฟื้นตัว ARPU ของการให้บริการโทรศัพท์มือถือหลังการควบรวมในอุตสาหกรรมยังเป็นปัจจัยหนุนหลักของการเติบโตจากปีก่อนแต่เนื่องจาก ADVANC ส่งสัญญาณว่าจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่สูงกว่าปกติในไตรมาสนี้ เราจึงประเมินว่ากำไรอาจดดตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ADVANC บนแนวโน้มกำไรที่เติบโตแข็งแกร่ง หนุนโดย ARPU ที่ยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้าและรายได้หลังควบรวมกิจการอินเตอร์เน็ตบ้านและประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุนจากการควบรวม TTTBB เข้ามา และเนื่องจากคาดการณ์กำไรรวมครึ่งแรกปี 67 เทียบได้เป็น 51% ของประมาณการทั้งปีของเรา เราจึงยังคงประมาณการณ์และราคาเป้าหมาย ADVANC ของเราไว้ตามเดิม
ด้าน SPRC นักวิเคราะห์มองว่า จากประเด็นที่ SPRC รายงานกำไรสุทธิ 3.9 พันลบ. ในไตรมาส 1/67 เทียบกับขาดทุนสุทธิ 4.6 พันลบ. ในไตรมาส 4/66 และ 1.2 พันลบ. ในไตรมาส 1/66 การดำเนินงานดีขึ้นเป็นผลมาจาก GRM ที่สูงขึ้น รวมถึงการบันทึกกำไรจากสต็อก ผลการดำเนินงานสูงกว่าประมาณการของเรา 13%เนื่องจากมีการบันทึกด่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน USS19m
แนวโน้มคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/67 จะลดลงจาก GRM ที่ลดลงอย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรในปีนี้
ปิดท้ายที่ BH นักวิเคราะห์มองว่าจากการที่ BH รายงานกำไรไตรมาส 167 สูงเป็นประวัติการณ์และแข็งแกร่งที่ 2 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยผลักตันที่สำคัญคืออัตรากำไรขั้นต้นเนื่องจากอำนาจต่อรองราคาที่แข็งแกร่งและการควบคุมต้มต้นทนอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราขึ้น 67-69 และราคาเป้าหมายพื้นฐานปี 67 เป็น 310 บาท จาก 300 บาท เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" BH โดย
1) BH ถูก de-rated มากแล้วในมองของเรา การซื้อขายที่ PE ที่ 24.6 เท่า เทียบกับการเติบโตของ PE 15.5% เรามองว่าน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับ PE ในช่วง 5 ปีก่อนโควิดที่ 38.9 เท่า เทียบกับการเติบโตของ EPS เฉลี่ยที่ 8% ปัจจุบัน ROE ยังสูงกว่าเมื่อก่อนมากที่ 31% เทียบกับในอดีตที่ 25%
2) BH เป็นบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่ระดับ ROE ดังกล่าว และ 3)โรงพยาบาลใหม่ในภูเก็ตจะเปิดในปี 69 ดังนั้น จึงไม่มีผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญในอีกสองปีข้างหน้า