ตามที่นักลงทุนหลายๆคนได้ติดตามข่าวสารของความเคลื่อนดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมามีตลาดหุ้นหลายประเทศได้ทำจุดสูงสุดไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการทำจุดสูงสุดได้ไม่นานก็ย่อมมีการปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นในวันนี้ทางเราก็ได้ทำการสำรวจข้อมูลตลาดหุ้นทั่วโลกที่เป็นขวัญใจของนักลงทุน พร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นหลังจากที่ได้ทำจุดสูงสุดจะเป็นเช่นไรบ้าง มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้
โดยเริ่มกันตลาดหุ้นที่นักลงทุนหลายคนยกให้เป็นมหาอำนาจของโลก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็น NASDAQ ศูนย์ของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดกลางถึงเล็ก ที่ดัชนีปิดตลาดทำจุดสูงสุดไปในวันที่ 12 ก.ค. 67 หรือ 18,398 จุด และล่าสุดวันจันทร์ที่ 5 ส.ค.67 ปิดตลาดไปที่ 16,200 จุด ลดลงจากจุดสูงสุด 2,198 จุด หรือราว 11.94%
ขณะที่ ดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีมัดรวมหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ 500 ตัวแรก ก็ได้ทำจุดสูงสุดไปในวันที่ 5 ก.ค. 2567 โดยระดับดัชนีปิดตลาดที่ 5,667 จุด และล่าสุดในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. 2567 ได้ปิดตลาดไปที่ 5,186 จุด ซึ่งลดลงจากสูงสุดราว 481 จุด หรือคิดเป็น 8.48%
หากจะพูดถึงตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น แน่นอนว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างดัชนีตลาดหลัก nikkei 225 ที่รวบรวมบริษัทชั้นนำกว่า 225 ไว้ในดัชนีดังกล่าว ได้ทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 41,831 จุด ณ ดัชนีปิดตลาดวันที่ 10 ก.ค. 2567 และในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 31,458 จุด โดยปรับตัวลดลงมากว่า 10,373 จุดหรือคิดเป็น 24.79%
ถัดมาเป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่นักลงทุนหลายๆคนยกให้เป็นดาวรุ่งในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิท-19 ก็คือตลาดหุ้นจีนอย่างดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ที่จะรวบบริษัทใหญ่ที่สุด 52 แห่ง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ดัชนีเคยไปทำสูงสุดที่ 33,154 จุด ณ วันปิดตลาด 26 ม.ค. 2561 ซึ่งดัชนีปิดตลาดในวันที่ 5 ส.ค. 67 ระดับ 16,698 จุด ลดงจากจุดสุงสุดถึง 16,456 จุด หรือกว่า 49.63%
และอีกหนึ่งตลาดอย่างดัชนี CSI300 ที่จะประกอบไปด้วยหุ้นจีนขนาดใหญ่ 300 ตัวของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ทำได้จุดสูงสุดในวันที่ 19 ก.พ. 2564 ด้วยดัชนีปิดตลาดที่ 5,778 จุด และในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ดัชนีปิดตลาดไปที่ 3,343 จุด ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดกว่า 2,435 จุด หรือคิดเป็น 42.14%
ต่อมาเป็นตลาดหุ้นที่บ้านใกล้เรือนเคียงกับตลาดไทยอย่างตลาดหุ้นเวียดนาม หรือ ดัชนี VNI ดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ ครอบคลุมหุ้น 590 ตัว ดัชนีปิดตลาด ณ วันที่ 1ธ.ค. 2564 ได้ทำจุดสูงสุดไปที่ 1,498 จุด และดัชนีปิดตลาดในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ได้อยู่ที่ระดับ 1,188 จุด ลดลงจากจุดสูงสุด 310 จุด หรือคิดเป็น 20.69%
และสุดท้ายหากจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้อย่างกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ทำจุดสูงสุด ณ ตอนปิดตลาดไปในวันที่ 24 ม.ค. 2561 ด้วยระดับดัชนี 1,838 จุด และในวันที่ 5 ส.ค. 67 ได้ปิดตลาดไปด้วยระดับดัชนี 1,274 จุด ลดลงจากจุดสูงสูด 564 จุด หรือคิดเป็น 30.68%
ดังนั้นในวันนี้ทางเราก็ได้ทำการสำรวจข้อมูลตลาดหุ้นทั่วโลกที่เป็นขวัญใจของนักลงทุน พร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นหลังจากที่ได้ทำจุดสูงสุดจะเป็นเช่นไรบ้าง มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้
โดยเริ่มกันตลาดหุ้นที่นักลงทุนหลายคนยกให้เป็นมหาอำนาจของโลก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็น NASDAQ ศูนย์ของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดกลางถึงเล็ก ที่ดัชนีปิดตลาดทำจุดสูงสุดไปในวันที่ 12 ก.ค. 67 หรือ 18,398 จุด และล่าสุดวันจันทร์ที่ 5 ส.ค.67 ปิดตลาดไปที่ 16,200 จุด ลดลงจากจุดสูงสุด 2,198 จุด หรือราว 11.94%
ขณะที่ ดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีมัดรวมหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ 500 ตัวแรก ก็ได้ทำจุดสูงสุดไปในวันที่ 5 ก.ค. 2567 โดยระดับดัชนีปิดตลาดที่ 5,667 จุด และล่าสุดในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. 2567 ได้ปิดตลาดไปที่ 5,186 จุด ซึ่งลดลงจากสูงสุดราว 481 จุด หรือคิดเป็น 8.48%
หากจะพูดถึงตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น แน่นอนว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างดัชนีตลาดหลัก nikkei 225 ที่รวบรวมบริษัทชั้นนำกว่า 225 ไว้ในดัชนีดังกล่าว ได้ทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 41,831 จุด ณ ดัชนีปิดตลาดวันที่ 10 ก.ค. 2567 และในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 31,458 จุด โดยปรับตัวลดลงมากว่า 10,373 จุดหรือคิดเป็น 24.79%
ถัดมาเป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่นักลงทุนหลายๆคนยกให้เป็นดาวรุ่งในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิท-19 ก็คือตลาดหุ้นจีนอย่างดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ที่จะรวบบริษัทใหญ่ที่สุด 52 แห่ง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ดัชนีเคยไปทำสูงสุดที่ 33,154 จุด ณ วันปิดตลาด 26 ม.ค. 2561 ซึ่งดัชนีปิดตลาดในวันที่ 5 ส.ค. 67 ระดับ 16,698 จุด ลดงจากจุดสุงสุดถึง 16,456 จุด หรือกว่า 49.63%
และอีกหนึ่งตลาดอย่างดัชนี CSI300 ที่จะประกอบไปด้วยหุ้นจีนขนาดใหญ่ 300 ตัวของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ทำได้จุดสูงสุดในวันที่ 19 ก.พ. 2564 ด้วยดัชนีปิดตลาดที่ 5,778 จุด และในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ดัชนีปิดตลาดไปที่ 3,343 จุด ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดกว่า 2,435 จุด หรือคิดเป็น 42.14%
ต่อมาเป็นตลาดหุ้นที่บ้านใกล้เรือนเคียงกับตลาดไทยอย่างตลาดหุ้นเวียดนาม หรือ ดัชนี VNI ดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ ครอบคลุมหุ้น 590 ตัว ดัชนีปิดตลาด ณ วันที่ 1ธ.ค. 2564 ได้ทำจุดสูงสุดไปที่ 1,498 จุด และดัชนีปิดตลาดในวันที่ 5 ส.ค. 2567 ได้อยู่ที่ระดับ 1,188 จุด ลดลงจากจุดสูงสุด 310 จุด หรือคิดเป็น 20.69%
และสุดท้ายหากจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้อย่างกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ทำจุดสูงสุด ณ ตอนปิดตลาดไปในวันที่ 24 ม.ค. 2561 ด้วยระดับดัชนี 1,838 จุด และในวันที่ 5 ส.ค. 67 ได้ปิดตลาดไปด้วยระดับดัชนี 1,274 จุด ลดลงจากจุดสูงสูด 564 จุด หรือคิดเป็น 30.68%