อดทนมา 7 ปี สาวแก้เผ็ด "ผัวกตัญญู" พาพ่อแม่ตัวเองเที่ยวฉ่ำ ทิ้งลูกเมียอยู่บ้าน บทเรียนนี้จ่ายแพงมาก
เว็บไซต์ Soha ของเวียดนาม เปิดเผยเรื่องราวของสาวคนหนึ่งที่แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตคู่ของเธอและสามี หลังใช้ชีวิตด้วยกันมา 7 ปี ฝ่ายชายให้ความสำคัญแต่กับพ่อแม่ของเขา จนละเลยความรู้สึกของภรรยาและลูก เมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดลง ภรรยาก็ได้มอบบทเรียนราคาแพงให้เขา
เรื่องมีอยู่ว่า เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง แต่งงานมา 7 ปีแล้ว สามีของเธอบอกว่าเขาอยากพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาว ได้ยินแบบนั้นเธอก็ดีใจมากเพราะสามีเคยพูดหลายครั้งว่า เขาอยากพาเมียไปเปิดหูเปิดตาท่องโลกกว้าง แต่เมื่อกำลังจัดกระเป๋าอย่างมีความสุข สามีก็ทำให้เธอชาไปทั้งตัว เขาบอกว่าเขาขอหยุดสองสามวันเพื่อพาพ่อแม่ไปเที่ยว ส่วนเธอกับลูกๆ ต้องรอปีหน้า
เมื่อได้ยินสามีพูดแบบนั้น เธอก็พูดไม่ออก ทั้งผิดหวังและเสียใจ ตอนแรกเขาบอกฉันชัดเจนว่าจะพาเธอกับลูกไปเที่ยว และยังบอกจะพาปู่ย่าตายายของเด็กๆ ไปเที่ยวด้วยกัน ใครจะคิดว่าเขาจะพาแค่พ่อแม่ของตัวเองไป โดยผิดสัญญากับคนอื่น ๆ เมื่อเห็นทัศนคติของสามีเช่นนั้น อารมณ์ในใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากความคาดหวังและความตื่นเต้นมากมาย กลายเป็นความผิดหวังอย่างล้นหลามในที่สุด
เธอและสามีแต่งงานกันมา 7 ปีแล้ว และในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนสักครั้ง ทุกปีในช่วงวันหยุดยาว สามีจะขอให้เธอกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่กับเขาที่บ้านเกิด เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ทำงานหนักมากเพื่อเลี้ยงดูเขา เธอก็ไม่ได้คัดค้านในช่วง 2 ปีแรก แต่ยิ่งกลับไปบ้านเกิดของสามี ก็ยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข ทุกครั้งที่กลับบ้านของเขา ต้องเจอกับรถติดหลายชั่วโมงก็หงุดหงิดอยู่แล้ว พอกลับถึงบ้านก็แทบไม่มีอะไรกิน แถมยังเป็นอาหารเหลือจากมื้อที่แล้ว ที่หลับที่นอนก็ต้องหาเอาเอง ที่ผ่านมาเธอพยายามมองข้ามมันไปเพราะเห็นแต่ความกตัญญูของสามี ที่ครอบครัวเคยลำบากมา
ปีที่ 3 หลังแต่งงาน เธอบอกสามีว่าจะพาลูกไปเยี่ยมตายายสัก 2-3 วัน ส่วนสามีก็ยืนยันจะกลับไปหาพ่อแม่ตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงทะเลาะกันหนักมาก จนไม่คุยกันเลยตลอดทั้งสัปดาห์ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจพาลูกไปที่บ้านตายาย ซึ่งทุกคนมีความสุขมาก ในขณะที่สามีก็กลับไปหาพ่อแม่ของเขาเพียงลำพัง จนกลายเป็นธรรมเนียมของเธอกับสามีว่าช่วงหยุดตรุษจีนจะไปเที่ยวคนละที่
แต่ปีนี้สามีบอกว่าอยากพาครอบครัวและพ่อแม่ไปเที่ยวด้วยกัน น่าจะใช้เงินประมาณ 70 ล้านดองเวียดนาม (ราว 1 แสนบาท) สำหรับทริปนี้ ซึ่งเธอคิดว่าสามีทำงานหาเงินเก่งอยู่แล้ว ยังไงก็พาครอบครัวเที่ยวได้สบายๆ และเพื่อให้การเดินทางราบรื่นเธอเตรียมยาแก้เมารถ ครีมกันแดด เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆ สามียืนยันว่าจะจัดการเรื่องตั๋ว โรงแรมเอง ให้ฉันดูแลลูกอย่างเดียว ฉันรู้สึกสบายใจมาก แต่สุดท้ายสามีกลับพาแค่พ่อแม่ของเขาไปเที่ยว
แต่สุดท้ายสามีกลับพาแค่พ่อแม่ของเขาไปเที่ยว ระหว่างเที่ยวยังส่งข้อความมาปลอบใจ บอกว่าพ่อแม่แก่แล้ว อยากพาไปเที่ยวเยอะๆ เราอายุน้อยมีเวลาเที่ยวอีกเยอะไม่ต้องรอช่วงเทศกาล นั่นทำให้เธอยิ่งโมโห เลยจองตั๋วโรงแรมพาพ่อแม่ของเธอและลูกไปเที่ยวทะเล ถ่ายรูปส่งให้สามีพร้อมใบแจ้งหนี้ ซึ่งเธอใช้เงินเก็บของครอบครัวจ่ายทั้งหมด และทุกครั้งที่จ่ายเงิน ธนาคารจะส่งแจ้งเตือนไปมือถือสามี เพราะทั้งคู่ลงทะเบียนรับข้อความร่วมกัน
ตอนแรกสามีเห็นว่าเธอใช้จ่ายไปเพียงเล็กน้อย เขาจึงกล้าบอกว่าเที่ยวให้สนุก แต่ต่อมาเธอก็ใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และข้อความยอดเงินคงเหลือที่ผันผวนจากธนาคาร ก็ทำให้อารมณ์ของสามียิ่งปั่นป่วน เธอซื้อสร้อยข้อมือให้พ่อแม่ราคาประมาณ 15 ล้านดอง (2 หมื่นบาท) แล้วส่งให้สามีดู ถามเขาว่าสวยไหม สามีรีบส่งข้อความมาบอกว่าถ้าใช้เงินเก่งแบบนี้ต่อไปจะทำยังไง เมื่อสามีว่าเช่นนั้นเธอก็ตอบว่า “หมายความว่าไง คุณพาพ่อแม่คุณไปเที่ยว แล้วฉันจะพาพ่อแม่ฉันกับลูก ออกมาเที่ยวบ้างไม่ได้เหรอ?”
แม้ว่าสามีจะโกรธ แต่เธอก็ยังพาพ่อแม่ไปกินอาหารอร่อยๆ และเที่ยวอย่างสนุกสนาน เธอเล่าว่าเมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตอย่างประหยัดเพื่อครอบครัว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความพยายามประหยัดของเธอทั้งหมดที่ทำมา ก็เพื่อให้สามีเอาไปใช้จ่ายเงินอย่างอิสระเท่านั้น
และเนื่องจากค่าใช้จ่ายของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามีก็รีบโทรมาขอโทษภรรยา เขาบอกว่าเขาไม่ควรพาพ่อแม่ออกไปเที่ยวฝ่ายเดียว และขอให้ฉันและลูกๆ กลับบ้านโดยเร็ว ส่วนเขาก็รีบพาพ่อแม่กลับไปที่บ้านเกิดเพื่อจบทริป แต่เธอก็ไม่สนใจกับสามีที่ใจร้อนเร่งเร้า ยังคงพาพ่อแม่และลูกชองเธอใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไปอีก 4 วัน
เหตุการณ์นี้ทำให้สามีเริ่มยอมรับความผิดพลาดของตัวเขา โดยบอกว่าเขาตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาภรรยาเลย เมื่อเห็นสามีเริ่มสำนึกฝ่ายภรรยาก็ใจอ่อนลง แต่เมื่อคิดว่าเธอต้องเสียสละอะไรมากมายเพื่อครอบครัว แต่คนที่นอนร่วมเตียงกลับไม่สนใจด้วยซ้ำ ทำให้เธอตั้งคำถามว่า คนเห็นแก่ตัวเช่นนี้คู่ควรกับการให้อภัยและการเสียสละที่ผ่านมาของเธอหรือไม่?
ที่มา : https://www.sanook.com/news/9501226
เว็บไซต์ Soha ของเวียดนาม เปิดเผยเรื่องราวของสาวคนหนึ่งที่แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตคู่ของเธอและสามี หลังใช้ชีวิตด้วยกันมา 7 ปี ฝ่ายชายให้ความสำคัญแต่กับพ่อแม่ของเขา จนละเลยความรู้สึกของภรรยาและลูก เมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดลง ภรรยาก็ได้มอบบทเรียนราคาแพงให้เขา
เรื่องมีอยู่ว่า เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง แต่งงานมา 7 ปีแล้ว สามีของเธอบอกว่าเขาอยากพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาว ได้ยินแบบนั้นเธอก็ดีใจมากเพราะสามีเคยพูดหลายครั้งว่า เขาอยากพาเมียไปเปิดหูเปิดตาท่องโลกกว้าง แต่เมื่อกำลังจัดกระเป๋าอย่างมีความสุข สามีก็ทำให้เธอชาไปทั้งตัว เขาบอกว่าเขาขอหยุดสองสามวันเพื่อพาพ่อแม่ไปเที่ยว ส่วนเธอกับลูกๆ ต้องรอปีหน้า
เมื่อได้ยินสามีพูดแบบนั้น เธอก็พูดไม่ออก ทั้งผิดหวังและเสียใจ ตอนแรกเขาบอกฉันชัดเจนว่าจะพาเธอกับลูกไปเที่ยว และยังบอกจะพาปู่ย่าตายายของเด็กๆ ไปเที่ยวด้วยกัน ใครจะคิดว่าเขาจะพาแค่พ่อแม่ของตัวเองไป โดยผิดสัญญากับคนอื่น ๆ เมื่อเห็นทัศนคติของสามีเช่นนั้น อารมณ์ในใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากความคาดหวังและความตื่นเต้นมากมาย กลายเป็นความผิดหวังอย่างล้นหลามในที่สุด
เธอและสามีแต่งงานกันมา 7 ปีแล้ว และในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนสักครั้ง ทุกปีในช่วงวันหยุดยาว สามีจะขอให้เธอกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่กับเขาที่บ้านเกิด เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ทำงานหนักมากเพื่อเลี้ยงดูเขา เธอก็ไม่ได้คัดค้านในช่วง 2 ปีแรก แต่ยิ่งกลับไปบ้านเกิดของสามี ก็ยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข ทุกครั้งที่กลับบ้านของเขา ต้องเจอกับรถติดหลายชั่วโมงก็หงุดหงิดอยู่แล้ว พอกลับถึงบ้านก็แทบไม่มีอะไรกิน แถมยังเป็นอาหารเหลือจากมื้อที่แล้ว ที่หลับที่นอนก็ต้องหาเอาเอง ที่ผ่านมาเธอพยายามมองข้ามมันไปเพราะเห็นแต่ความกตัญญูของสามี ที่ครอบครัวเคยลำบากมา
ปีที่ 3 หลังแต่งงาน เธอบอกสามีว่าจะพาลูกไปเยี่ยมตายายสัก 2-3 วัน ส่วนสามีก็ยืนยันจะกลับไปหาพ่อแม่ตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงทะเลาะกันหนักมาก จนไม่คุยกันเลยตลอดทั้งสัปดาห์ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจพาลูกไปที่บ้านตายาย ซึ่งทุกคนมีความสุขมาก ในขณะที่สามีก็กลับไปหาพ่อแม่ของเขาเพียงลำพัง จนกลายเป็นธรรมเนียมของเธอกับสามีว่าช่วงหยุดตรุษจีนจะไปเที่ยวคนละที่
แต่ปีนี้สามีบอกว่าอยากพาครอบครัวและพ่อแม่ไปเที่ยวด้วยกัน น่าจะใช้เงินประมาณ 70 ล้านดองเวียดนาม (ราว 1 แสนบาท) สำหรับทริปนี้ ซึ่งเธอคิดว่าสามีทำงานหาเงินเก่งอยู่แล้ว ยังไงก็พาครอบครัวเที่ยวได้สบายๆ และเพื่อให้การเดินทางราบรื่นเธอเตรียมยาแก้เมารถ ครีมกันแดด เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆ สามียืนยันว่าจะจัดการเรื่องตั๋ว โรงแรมเอง ให้ฉันดูแลลูกอย่างเดียว ฉันรู้สึกสบายใจมาก แต่สุดท้ายสามีกลับพาแค่พ่อแม่ของเขาไปเที่ยว
แต่สุดท้ายสามีกลับพาแค่พ่อแม่ของเขาไปเที่ยว ระหว่างเที่ยวยังส่งข้อความมาปลอบใจ บอกว่าพ่อแม่แก่แล้ว อยากพาไปเที่ยวเยอะๆ เราอายุน้อยมีเวลาเที่ยวอีกเยอะไม่ต้องรอช่วงเทศกาล นั่นทำให้เธอยิ่งโมโห เลยจองตั๋วโรงแรมพาพ่อแม่ของเธอและลูกไปเที่ยวทะเล ถ่ายรูปส่งให้สามีพร้อมใบแจ้งหนี้ ซึ่งเธอใช้เงินเก็บของครอบครัวจ่ายทั้งหมด และทุกครั้งที่จ่ายเงิน ธนาคารจะส่งแจ้งเตือนไปมือถือสามี เพราะทั้งคู่ลงทะเบียนรับข้อความร่วมกัน
ตอนแรกสามีเห็นว่าเธอใช้จ่ายไปเพียงเล็กน้อย เขาจึงกล้าบอกว่าเที่ยวให้สนุก แต่ต่อมาเธอก็ใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และข้อความยอดเงินคงเหลือที่ผันผวนจากธนาคาร ก็ทำให้อารมณ์ของสามียิ่งปั่นป่วน เธอซื้อสร้อยข้อมือให้พ่อแม่ราคาประมาณ 15 ล้านดอง (2 หมื่นบาท) แล้วส่งให้สามีดู ถามเขาว่าสวยไหม สามีรีบส่งข้อความมาบอกว่าถ้าใช้เงินเก่งแบบนี้ต่อไปจะทำยังไง เมื่อสามีว่าเช่นนั้นเธอก็ตอบว่า “หมายความว่าไง คุณพาพ่อแม่คุณไปเที่ยว แล้วฉันจะพาพ่อแม่ฉันกับลูก ออกมาเที่ยวบ้างไม่ได้เหรอ?”
แม้ว่าสามีจะโกรธ แต่เธอก็ยังพาพ่อแม่ไปกินอาหารอร่อยๆ และเที่ยวอย่างสนุกสนาน เธอเล่าว่าเมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตอย่างประหยัดเพื่อครอบครัว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความพยายามประหยัดของเธอทั้งหมดที่ทำมา ก็เพื่อให้สามีเอาไปใช้จ่ายเงินอย่างอิสระเท่านั้น
และเนื่องจากค่าใช้จ่ายของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามีก็รีบโทรมาขอโทษภรรยา เขาบอกว่าเขาไม่ควรพาพ่อแม่ออกไปเที่ยวฝ่ายเดียว และขอให้ฉันและลูกๆ กลับบ้านโดยเร็ว ส่วนเขาก็รีบพาพ่อแม่กลับไปที่บ้านเกิดเพื่อจบทริป แต่เธอก็ไม่สนใจกับสามีที่ใจร้อนเร่งเร้า ยังคงพาพ่อแม่และลูกชองเธอใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไปอีก 4 วัน
เหตุการณ์นี้ทำให้สามีเริ่มยอมรับความผิดพลาดของตัวเขา โดยบอกว่าเขาตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาภรรยาเลย เมื่อเห็นสามีเริ่มสำนึกฝ่ายภรรยาก็ใจอ่อนลง แต่เมื่อคิดว่าเธอต้องเสียสละอะไรมากมายเพื่อครอบครัว แต่คนที่นอนร่วมเตียงกลับไม่สนใจด้วยซ้ำ ทำให้เธอตั้งคำถามว่า คนเห็นแก่ตัวเช่นนี้คู่ควรกับการให้อภัยและการเสียสละที่ผ่านมาของเธอหรือไม่?
ที่มา : https://www.sanook.com/news/9501226