Talk of The Town

TIDLOR ราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบมากเกินไป โบรกฯ ประสานเสียงงบไตรมาส 3 โตต่อเนื่อง คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23-25 บาท


09 สิงหาคม 2567
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ TIDLOR วันนี้ปรับตัวลดลงกว่า 14% มาอยู่ที่ระดับ 13.40 บาท ถึงแม้ว่าจะประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/67 ที่มีรายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้น แต่หากดูในส่วนของ NPL ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากที่คาดการณ์ไว้ รวมไปถึงนักวิเคราะห์ยังประเมินว่าแนวโน้มไตรมาส 3/67 ยังมีโอกาสที่เติบโตต่อ

S2T (เว็บ) TIDLOR ราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบมากเกินไป.jpg

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ตลาดมีความกังวลมากเกินไปต่อคุณภาพสินเชื่อในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อ รถบรรทุกมือสอง ขณะที่ TIDLOR ยังสามารถรักษาระดับกำไรสุทธิได้ดี อีกทั้งราคาหุ้น ปัจจุบันซื้อขายด้วย PBV ปี 2567 ต่ำเพียง 1.4x และมี Upside 46.5% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 23 บาท จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

โดย หลังจากที่ TIDLOR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 จำนวน 1,091 ล้านบาท โต 17.7% จากปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อย 1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด 

แรงกดดันหลักๆ มาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น 11.9% จากไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นระดับ Credit Cost ที่ 3.6% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในไตรมาส 1/67 หลัง NPL Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.9% จาก 1.6% ในไตรมาส 1/67 หลังลูกหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองมีความสามารถในการชำระหนี้แย่ลงในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ 

บวกกับได้รับผลกระทบจากราคารถบรรทุกมือสองที่ อยู่ในระดับต่ำ ทำให้การตั้งสำรองและผลขาดทุนจากการขายรถยึดขยับขึ้น นอกจากนี้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังปรับลง 3.9% จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล (ซึ่งปกติรายได้จากการเป็น นายหน้าประกันวินาศภัยจะชะลอตัวในช่วงกลางปี)

ทั้งนี้ปัจจัยลบดังกล่าว บางส่วนถูกหักล้างด้วย 1) รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่โต 4.1% จากไตรมาสก่อน หนุนจาก NIM ที่ปรับตัวขึ้นเป็น 15.7% จาก 15.5% ในไตรมาส1/67 หลังเริ่มเห็นผลบวกจากการ ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 66 ซึ่งช่วยชดเชยต้นทุนทางการเงินที่ขยับขึ้นตามการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นจากเดิม 

ประกอบกับ TIDLOR สามารถขยายสินเชื่อได้อีก 2.9% จากไตรมาสก่อน หลักๆ มาจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มี ความต้องการใช้สินเชื่ออยู่มาก และบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี โดย Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 53.4% จาก 54.1% ในไตรมาส 1/67 ช่วยให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง (PPOP) โต 4% จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็น 50.3% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง จะชะลอลงเล็กน้อย จากการบันทึกค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี ในช่วงไตรมาส 4/67 

แต่คาดไตรมาส 3/67 จะเห็นแนวโน้มกำไรสุทธิของ TIDLOR กลับมาโตทั้งจากปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หนุน จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง จากทั้ง NIM ที่ได้รับอานิสงค์จากการ ปรับขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้นเรื่อยๆ และการเร่งขยายสินเชื่อในช่วง ปลายปี 

ประกอบกับการฟื้นตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมของการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย ที่คาด จะขยายตัวได้สอดรับไปกับการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ และการรุกขยายตลาด Insurtech ผ่าน ทาง Digital Platform ต่างๆ ของบริษัท 

รวมไปถึงการตั้งสำรองคาดจะผ่อนคลายลงจากไตรมาสก่อน หลังเร่งปรับชั้นลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเป็น NPL ไปแล้ว ประกอบกับคาดจะมี ผลบวกจากการที่ภาครัฐฯ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาส 3/67 หนุนให้เราคาดทั้งปี 2567 TIDLOR จะมีกำไรสุทธิ 4,362 ล้านบาท โต 15.1% จากปีก่อน

ขณะที่ในด้านของบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67ที่ 1.1พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนจากสินเชื่อที่ขยายตัว และทรงตัวจากไตรมาสก่อนการเติบโตของสินเชื่อถูกกลบด้วย NIM ที่ลดลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คาดกำไรสุทธิปี 2567ที่ 4.4พันล้านบาทเพิ่มขึ้น15% จากปีก่อน หนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 16% จากปีก่อน และรายได้นายหน้าจากการขายประกันที่สูงขึ้น

โดย PER ปี 2567 ของ TIDLOR อยู่ที่ 10.5 เท่า ในขณะที่เราคาดการเติบโตเฉลี่ยสะสมของกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2567-69 ที่ 15% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.6 เท่า ซึ่งต่ากว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่เราให้คำแนะนำที่ 0.8 เท่า โดยแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายพื้นฐานไว้ที่ 25 บาท