จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : LEO เดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Freight บุกตลาด Self Storage สร้างมาร์จิ้น 45% ดันรายได้โต
09 สิงหาคม 2567
บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) บุกตลาด Self-Storage เปิดตัวสาขาที่พระราม 4 ชูจุดเด่นห้องเก็บไวน์ที่ออกแบบตามมาตรฐานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรักษาไวน์ แย้มธุรกิจ Self Storage เป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงถึง 45% เตรียมเปิดสาขาอีก 2 แห่ง ภายในปี68 เน้นพื้นที่ กทม.
การให้บริการห้องเช่าเก็บของ หรือ Self-Storage ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ดินที่มีราคาแพงทำให้ที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีพื้นที่ใช้สอยน้อยลง หรือหากบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมากก็จะต้องเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งก็จะไม่สะดวกต่อการเดินทาง ดังนั้นการมีห้องเก็บของจึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเก็บของสิ่งของ หรือของที่มีคุณค่า และที่สำคัญมีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างดี
สอดคล้องกับการทำธุรกิจของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)ที่มีการทำธุรกิจ self storage ต่อยอดจากธุรกิจหลักด้านการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ โดยช่วงที่ผ่านมาได้เปิดดำเนินการแล้ว 2 สาขา ที่ถนนพระราม 3 และสาขาไชน่าทาวน์
“เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO เชื่อว่า ธุรกิจ self storage ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเมือง การค้าออนไลน์ เทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ ในยุคดิจิทัล บริษัทจึงเปิด Self Storage สาขาที่ 3 ย่านพระราม 4 ด้วยงบลงทุน 75 ล้านบาท พื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Smart Storage"
โดย LEO Self Storage สาขาพระราม 4 จะเป็นแห่งแรกที่พัฒนาระบบ Smart Storage ของบริษัทเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการเช่าระบบจากต่างชาติ ลูกค้าสามารถสมัครบริการทำ online booking และชำระเงินได้เอง มั่นใจในมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้วยการ verify ตัวตนที่ self service kiosk จากนั้นลูกค้าสามารถควบคุมการเข้าออกพื้นที่ด้วยตัวเอง ผ่าน mobile application พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการเปิด-ปิดห้องเก็บของ สามารถทำธุรกรรมด้วยตนเองได้เอง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอติดต่อพนักงาน เพิ่มความสะดวกสบายและลดระยะเวลาในการติดต่อของลูกค้า ด้วยระบบ Smart Storage ที่เราได้พัฒนาเป็นของตัวเองนี้ ทำให้เชื่อมั่นว่า การขยายสาขาในทุกรูปแบบธุรกิจ สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
และอีกหนึ่งบริการที่เป็นไฮไลท์ของ LEO Self Storage สาขาพระราม4 คือ LEO Wine Storage ห้องเก็บไวน์ที่ออกแบบตามมาตรฐานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรักษาไวน์ ด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิ 15-17 องศา และความชื้น 60% พร้อมด้วยแสงไฟที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเก็บรักษารสชาดไวน์โดยเฉพาะ เหมาะกับลูกค้าที่เป็นนักสะสมไวน์ ต้องการมีพื้นที่เก็บไวน์เพิ่มเติมที่ได้มาตรฐาน สะดวก รวมถึงยังเหมาะสำหรับเป็นคลังสินค้าขนาดเล็กสำหรับบริษัทผู้นำเข้าไวน์ เพื่อบริการจัดส่งไวน์ให้กับร้านอาหาร ภัตตาคาร ไวน์บาร์และโรงแรมที่อยู่ในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ และ เอกมัย
ซึ่ง LEO ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้จากธุรกิจ Self Storage ไว้ที่ 15 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 10 ล้านบาท และตั้งเป้ามีผู้ใช้บริการกว่า 60% ภายในปี 2568 ขณะที่สาขาพระราม 3 มีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 90% และสาขาไชน่าทาวน์มีผู้ใช้บริการมากกว่า 60%
และในปี 2568 เตรียมขยายเพิ่มอีก 2 สาขา โดยยังคงเป็นโลเคชั่นในเขตกรุงเทพมหานครเป็นหลัก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มองเห็นความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกเป็นจำนวนมาก วางงบลงทุนสาขาละ 70-80 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดในปลายปี ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5% จากเดิมที่มี 1-2% สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจ Self Storage เป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงถึง 45% เมื่อเทียบกับธุรกิจขนส่งที่มีมาร์จิ้นเพียง 17-25% บริษัทจึงตั้งเป้าหมายปรับสัดส่วนรายได้ Non-Freight และ Non-Logistics ขึ้นเป็น 30-35% จากปัจจุบันที่มี 10% ภายในปี 2569
การให้บริการห้องเช่าเก็บของ หรือ Self-Storage ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ดินที่มีราคาแพงทำให้ที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีพื้นที่ใช้สอยน้อยลง หรือหากบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมากก็จะต้องเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งก็จะไม่สะดวกต่อการเดินทาง ดังนั้นการมีห้องเก็บของจึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเก็บของสิ่งของ หรือของที่มีคุณค่า และที่สำคัญมีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างดี
สอดคล้องกับการทำธุรกิจของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)ที่มีการทำธุรกิจ self storage ต่อยอดจากธุรกิจหลักด้านการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ โดยช่วงที่ผ่านมาได้เปิดดำเนินการแล้ว 2 สาขา ที่ถนนพระราม 3 และสาขาไชน่าทาวน์
“เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO เชื่อว่า ธุรกิจ self storage ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเมือง การค้าออนไลน์ เทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ ในยุคดิจิทัล บริษัทจึงเปิด Self Storage สาขาที่ 3 ย่านพระราม 4 ด้วยงบลงทุน 75 ล้านบาท พื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Smart Storage"
โดย LEO Self Storage สาขาพระราม 4 จะเป็นแห่งแรกที่พัฒนาระบบ Smart Storage ของบริษัทเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการเช่าระบบจากต่างชาติ ลูกค้าสามารถสมัครบริการทำ online booking และชำระเงินได้เอง มั่นใจในมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้วยการ verify ตัวตนที่ self service kiosk จากนั้นลูกค้าสามารถควบคุมการเข้าออกพื้นที่ด้วยตัวเอง ผ่าน mobile application พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการเปิด-ปิดห้องเก็บของ สามารถทำธุรกรรมด้วยตนเองได้เอง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอติดต่อพนักงาน เพิ่มความสะดวกสบายและลดระยะเวลาในการติดต่อของลูกค้า ด้วยระบบ Smart Storage ที่เราได้พัฒนาเป็นของตัวเองนี้ ทำให้เชื่อมั่นว่า การขยายสาขาในทุกรูปแบบธุรกิจ สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
และอีกหนึ่งบริการที่เป็นไฮไลท์ของ LEO Self Storage สาขาพระราม4 คือ LEO Wine Storage ห้องเก็บไวน์ที่ออกแบบตามมาตรฐานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรักษาไวน์ ด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิ 15-17 องศา และความชื้น 60% พร้อมด้วยแสงไฟที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเก็บรักษารสชาดไวน์โดยเฉพาะ เหมาะกับลูกค้าที่เป็นนักสะสมไวน์ ต้องการมีพื้นที่เก็บไวน์เพิ่มเติมที่ได้มาตรฐาน สะดวก รวมถึงยังเหมาะสำหรับเป็นคลังสินค้าขนาดเล็กสำหรับบริษัทผู้นำเข้าไวน์ เพื่อบริการจัดส่งไวน์ให้กับร้านอาหาร ภัตตาคาร ไวน์บาร์และโรงแรมที่อยู่ในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ และ เอกมัย
ซึ่ง LEO ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้จากธุรกิจ Self Storage ไว้ที่ 15 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 10 ล้านบาท และตั้งเป้ามีผู้ใช้บริการกว่า 60% ภายในปี 2568 ขณะที่สาขาพระราม 3 มีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 90% และสาขาไชน่าทาวน์มีผู้ใช้บริการมากกว่า 60%
และในปี 2568 เตรียมขยายเพิ่มอีก 2 สาขา โดยยังคงเป็นโลเคชั่นในเขตกรุงเทพมหานครเป็นหลัก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มองเห็นความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกเป็นจำนวนมาก วางงบลงทุนสาขาละ 70-80 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดในปลายปี ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5% จากเดิมที่มี 1-2% สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจ Self Storage เป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงถึง 45% เมื่อเทียบกับธุรกิจขนส่งที่มีมาร์จิ้นเพียง 17-25% บริษัทจึงตั้งเป้าหมายปรับสัดส่วนรายได้ Non-Freight และ Non-Logistics ขึ้นเป็น 30-35% จากปัจจุบันที่มี 10% ภายในปี 2569