เป็นที่ทราบกันดีแล้ว เกี่ยวกับประเด็นที่ กระทรวงการคลัง แถลง “กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง” หวังเป็นกลไกเสริมสร้างการออมและการลงทุนให้กับประชาชน เบื้องต้นคาดเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเป็นบวกต่อ SET อิงกรณีศึกษาที่เคยประเมินผลบวกเม็ดเงินใหม่ (อิงกรณี LTF) ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2555-2556 ที่วงจรเศรษฐกิจใกล้เคียงปัจจุบัน จะหนุน SET ได้ 20-25 จุด
ขณะที่จิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์ 1 สูง (สิ้นสุด ธ.ค. 66) มากกว่า 0.3% ของเงินลงทุน คือ PTT คิดเป็นสัดส่วน 36.3%, SCB คิดเป็นสัดส่วน 24.3%, TTB คิดเป็นสัดส่วน 4.9%
BCP คิดเป็นสัดส่วน 3.47%, KTB คิดเป็นสัดส่วน 3.3%, AOT 1.81%, ADVANC คิดเป็นสัดส่วน 1.63%, SCC คิดเป็นสัดส่วน 0.89%, BDMS คิดเป็นสัดส่วน 0.86%
KBANK คิดเป็นสัดส่วน 0.73%, BSRC คิดเป็นสัดส่วน 0.7%, BBL คิดเป็นสัดส่วน 0.67%, CPN คิดเป็นสัดส่วน 0.64%, CRC คิดเป็นสัดส่วน 0.53%CPF คิดเป็นสัดส่วน 0.43%, MINT คิดเป็นสัดส่วน 0.43%, BH คิดเป็นสัดส่วน 0.41%, HMPRO คิดเป็นสัดส่วน 0.34%, CPAXT คิดเป็นสัดส่วน 0.34% และ SCGP คิดเป็นสัดส่วน 0.33%
ทั้งนี้ หากประกอบภาพพื้นฐานระยะสั้น และระยะกลาง มองหุ้นน่าสนใจ คือ PTT, SCB, BCP, KTB, AOT, ADVANC, MINT และ SCGP
แต่หากสำรวจปัจจัยพื้นฐานของทั้ง 8 หุ้นนี้ พบว่า PTT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ความผันผวนจากนโยบายการควบคุมราคาพลังงานของภาครัฐน่าจะยังมีอยู่ต่อไป แต่ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
ทั้งนี้เนื่องจากมองว่าราคาสะท้อนความเสี่ยงนั้นไปส่วนหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับแนวโน้มไตรมาส 3/67 กลุ่มโรงกลั่นน่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกำไรได้ รวมถึงระยะยาวยังมีโอกาสเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังดำเนินการ
ส่วน SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 125 บาท โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 จะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำรองและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง ส่วนประเด็นการตั้งสำรองในกรณีของบริษัทในกลุ่มพลังงานทดแทนคาดนักลงทุนจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลลง
ขณะที่ BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 45.00 บาท โดยภาพรวมของบริษัทจะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 2567 จาก 1.อัตราการใช้กำลังการกลั่นรวม (refinery run rate) ที่สูงขึ้นหลังบริษัทมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนงไปแล้ว
2. ค่าการกลั่นพื้นฐาน (operating GRM) ที่น่าจะสูงขึ้นตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ฟื้นตัว 3) ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล และ 4. ปริมาณจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ (OKEA) ที่สูงขึ้นตามแผนปิดซ่อมบำรุงที่ลดลง
ต่อกันที่ KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท โดยมองว่า KTB เป็นธนาคารที่จะได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐฯ และปัจจุบันบริษัทยังสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์รวมได้ดีกว่าธนาคารใหญ่รายอื่นๆ
ด้าน AOT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คงแนะนํา Outperform ให้ราคาเป้าหมาย 65 บาท(เดิม 68บาท) แม้การขอคืนพื้นที่ครั้งนี้สัญญาหลักสุวรรณภูมิ กระทบมากกว่าคาดการณ์ แต่ราคาหุ้น AOT ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาปรับลง 12.6% มากกว่า SET ติดลบ 4% สะท้อนปัจจัยด้านดิวตี้ ฟรี บางส่วนแล้ว
ทั้งนี้จึงประเมินแรงกดดันต่อราคาหุ้นต่ำกว่าการขอคืนพื้นที่ครั้งก่อน ในขณะที่แนวโน้มกําไรปกติไตรมาส 3/67 –2/68 ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนตั้งแต่งวด ต.ค. 67 –มี.ค. 68
ส่วน ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่งผลบวกต่อทั้ง profitability นี่น่าจะดีขึ้น (ARPU uplift) และ capex ที่น่าจะลดลง (การแข่งขันในการประมูลลดลง) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 271 บาท
ขณะที่ MINT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 42.00 บาท โดยไตรมาส 3 ยังคงเป็นช่วง High Season ของโรงแรมในยุโรป ซึ่งไตรมาส 3/67 มีปัจจัยหนุนทั้งอัตราการเข้าพักและ ADR ให้เติบโนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเนื่องจาก Demand กลุ่ม Corporate, EU Football, Summer Olympic, Concert ต่างๆ ในขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ด้านกลุ่มร้านอาหารคาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากอานิสงส์การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่งผลให้ยังคงคาดกำไรปี 2567 ที่ 8.3 พันล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน
ปิดท้ายที่ SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุน ระยะยาว ราคาเป้าหมาย 37 บาท โดยคาดกำไรปกติครึ่งหลังปี 67 จะสามารถเติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามปริมาณขาย Packaging Paper ที่ฟื้นตัวและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Fibrous Chain ที่ทรงตัวอยู่ในระดับ 18.0-20% ได้ต่อเนื่อง (ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเหมือนไตรมาส 2/67)
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเป็นบวกต่อ SET อิงกรณีศึกษาที่เคยประเมินผลบวกเม็ดเงินใหม่ (อิงกรณี LTF) ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2555-2556 ที่วงจรเศรษฐกิจใกล้เคียงปัจจุบัน จะหนุน SET ได้ 20-25 จุด
ขณะที่จิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์ 1 สูง (สิ้นสุด ธ.ค. 66) มากกว่า 0.3% ของเงินลงทุน คือ PTT คิดเป็นสัดส่วน 36.3%, SCB คิดเป็นสัดส่วน 24.3%, TTB คิดเป็นสัดส่วน 4.9%
BCP คิดเป็นสัดส่วน 3.47%, KTB คิดเป็นสัดส่วน 3.3%, AOT 1.81%, ADVANC คิดเป็นสัดส่วน 1.63%, SCC คิดเป็นสัดส่วน 0.89%, BDMS คิดเป็นสัดส่วน 0.86%
KBANK คิดเป็นสัดส่วน 0.73%, BSRC คิดเป็นสัดส่วน 0.7%, BBL คิดเป็นสัดส่วน 0.67%, CPN คิดเป็นสัดส่วน 0.64%, CRC คิดเป็นสัดส่วน 0.53%CPF คิดเป็นสัดส่วน 0.43%, MINT คิดเป็นสัดส่วน 0.43%, BH คิดเป็นสัดส่วน 0.41%, HMPRO คิดเป็นสัดส่วน 0.34%, CPAXT คิดเป็นสัดส่วน 0.34% และ SCGP คิดเป็นสัดส่วน 0.33%
ทั้งนี้ หากประกอบภาพพื้นฐานระยะสั้น และระยะกลาง มองหุ้นน่าสนใจ คือ PTT, SCB, BCP, KTB, AOT, ADVANC, MINT และ SCGP
แต่หากสำรวจปัจจัยพื้นฐานของทั้ง 8 หุ้นนี้ พบว่า PTT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ความผันผวนจากนโยบายการควบคุมราคาพลังงานของภาครัฐน่าจะยังมีอยู่ต่อไป แต่ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
ทั้งนี้เนื่องจากมองว่าราคาสะท้อนความเสี่ยงนั้นไปส่วนหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับแนวโน้มไตรมาส 3/67 กลุ่มโรงกลั่นน่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกำไรได้ รวมถึงระยะยาวยังมีโอกาสเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังดำเนินการ
ส่วน SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 125 บาท โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 จะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำรองและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง ส่วนประเด็นการตั้งสำรองในกรณีของบริษัทในกลุ่มพลังงานทดแทนคาดนักลงทุนจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลลง
ขณะที่ BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 45.00 บาท โดยภาพรวมของบริษัทจะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 2567 จาก 1.อัตราการใช้กำลังการกลั่นรวม (refinery run rate) ที่สูงขึ้นหลังบริษัทมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนงไปแล้ว
2. ค่าการกลั่นพื้นฐาน (operating GRM) ที่น่าจะสูงขึ้นตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ฟื้นตัว 3) ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล และ 4. ปริมาณจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ (OKEA) ที่สูงขึ้นตามแผนปิดซ่อมบำรุงที่ลดลง
ต่อกันที่ KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท โดยมองว่า KTB เป็นธนาคารที่จะได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐฯ และปัจจุบันบริษัทยังสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์รวมได้ดีกว่าธนาคารใหญ่รายอื่นๆ
ด้าน AOT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คงแนะนํา Outperform ให้ราคาเป้าหมาย 65 บาท(เดิม 68บาท) แม้การขอคืนพื้นที่ครั้งนี้สัญญาหลักสุวรรณภูมิ กระทบมากกว่าคาดการณ์ แต่ราคาหุ้น AOT ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาปรับลง 12.6% มากกว่า SET ติดลบ 4% สะท้อนปัจจัยด้านดิวตี้ ฟรี บางส่วนแล้ว
ทั้งนี้จึงประเมินแรงกดดันต่อราคาหุ้นต่ำกว่าการขอคืนพื้นที่ครั้งก่อน ในขณะที่แนวโน้มกําไรปกติไตรมาส 3/67 –2/68 ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนตั้งแต่งวด ต.ค. 67 –มี.ค. 68
ส่วน ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่งผลบวกต่อทั้ง profitability นี่น่าจะดีขึ้น (ARPU uplift) และ capex ที่น่าจะลดลง (การแข่งขันในการประมูลลดลง) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 271 บาท
ขณะที่ MINT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 42.00 บาท โดยไตรมาส 3 ยังคงเป็นช่วง High Season ของโรงแรมในยุโรป ซึ่งไตรมาส 3/67 มีปัจจัยหนุนทั้งอัตราการเข้าพักและ ADR ให้เติบโนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเนื่องจาก Demand กลุ่ม Corporate, EU Football, Summer Olympic, Concert ต่างๆ ในขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ด้านกลุ่มร้านอาหารคาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากอานิสงส์การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่งผลให้ยังคงคาดกำไรปี 2567 ที่ 8.3 พันล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน
ปิดท้ายที่ SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุน ระยะยาว ราคาเป้าหมาย 37 บาท โดยคาดกำไรปกติครึ่งหลังปี 67 จะสามารถเติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามปริมาณขาย Packaging Paper ที่ฟื้นตัวและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Fibrous Chain ที่ทรงตัวอยู่ในระดับ 18.0-20% ได้ต่อเนื่อง (ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเหมือนไตรมาส 2/67)