TSE เปิดงบ Q2/67 กวาดรายได้แตะ 352 ลบ. โต 14% EBITDA อยู่ที่ 252 ลบ. ลุย Solar Private PPA พร้อมรุกธุรกิจ Healthcare ดันผลงานโตต่อเนื่อง
บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) เปิดผลงานไตรมาส 2/67 กวาดรายได้ 352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน EBITDA อยู่ที่ 252 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร “ดร.แคทลีน มาลีนนท์” ระบุเปิดแผนครึ่งปีหลัง ลุย Private PPA - M&A โซลาร์ฟาร์ม - พร้อมรุกธุรกิจ Healthcare สร้าง New S-Curve หนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯในไตรมาส 2/2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567) มีรายได้รวม 352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท หรือ 14% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 309 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ 252 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 86 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ในไตรมาส 2/2567 เพิ่มขึ้นจากรายได้ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (รวมรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และรายได้ของกลุ่มโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) ที่มีต้นทุนวัตถุดิบหลัก และต้นทุนการบริหารจัดการที่ลดลง จากการบริหารจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีรายได้อื่นๆจากเงินส่วนเกินราคาขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยที่เคยประมาณการไว้เพิ่มเติมในปีนี้
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567) มีรายได้รวม 667 ล้านบาท โดยมี EBITDA อยู่ที่ 510 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 184 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2567 แม้ว่าสัญญารายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จะทยอยหมดลงในเดือนมิถุนายน 2567 แต่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อื่นๆ และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) ของบริษัทฯ ยังสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีโครงการปรับเปลี่ยนแผงโซล่าร์รุ่นเก่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อผลผลิตกระแสไฟที่ได้รับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถชดเชยรายได้ที่หายไปได้บ้าง อีกทั้งยังมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง จากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน และถอนหุ้นกู้คืนก่อนครบกำหนดกว่า 1,175 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินต้นหุ้นกู้คงค้างทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย 5.10% ในเดือน เมษายน 2567 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ก.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในวงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 160 ล้านหุ้น คิดเป็นอัตรา 7.56% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และในไตรมาสที่ 2/2567 นี้ บริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดปลายงวด (Cash Ending) อีกกว่าพันล้านบาท สร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินและความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ
อีกทั้งบริษัทฯยังมีความพร้อมสำหรับการเข้าประมูลงานโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งรอบที่ 2 และรอบที่ 3 หลังจากปี 2566 ที่บริษัทฯ ชนะประมูลงานโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบที่ 1 เป็นจำนวน 88.66 เมกะวัตต์เสนอขาย
รวมถึงพร้อมรุกธุรกิจ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) หรือข้อตกลงการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งรูปแบบโซลาร์ฟาร์มบนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Solar Floating) โซลาร์ฟาร์มแบบติดตั้งบนพื้นดิน (Ground-Mounted Solar) หรือ โซลาร์ฟาร์มบนลานจอดรถ (Solar Carport) ของผู้ประกอบการธุรกิจแบบครบวงจร และการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งกำลังการผลิต รวมถึงแผนจับมือกับพันธมิตรในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในประเทศไทย
และในส่วนของธุรกิจสุขภาพใหม่ที่เข้าไปเริ่มศึกษาในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ นายแพทย์วิวรรธน์ ชินพิลาศ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (IVF) ตลอดจนการรักษา การเสริมความงาม และการป้องกันเพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาว ซึ่งจัดอยู่ในเมกะเทรนด์และมีแนวโน้มการเติบโตสูง เพื่อสร้าง New S-Curve และเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมั่งคง
โดยปัจจุบัน TSE มีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมด 41 โครงการ กำลังการผลิตเสนอขายรวม 241.86 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 34 โครงการ และโครงการที่ยังไม่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อีก 7 โครงการ
นอกจากนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ TSE มาอยู่ที่ระดับ “BBB” จาก “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” การปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้สะท้อนถึงภาระหนี้ที่ลดลงและกระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัทฯ การผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล พร้อมต่อยอดธุรกิจในอนาคต