สัญญาณการเมืองเริ่มผ่อนคลายลงในทิศทางที่ดี ล่าสุดที่ประชุมสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ “เห็นชอบ” ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ด้วยคะแนนเสียง 319 ต่อ 145 เสียง ผู้งดออกเสียง 27 เสียง และไม่ลงคะแนน 2 เสียง
ทำให้ยืนยันได้แล้วว่า “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 31 ของประเทศไทย โดยเธอถือเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของไทย และยังถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย
“แพทองธาร ชินวัตร” เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเธอยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 14 ของบริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 อีกด้วย
แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย จะเดินหน้าต่อทุกนโยบายได้หรือไม่ ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาด SET Index แกว่ง Sideway รอดูการจัดตั้ง ครม. และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ คาดใช้เวลา 1-2 สัปดาห์
ส่วนนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า หลังจากนี้ตลาดรอการตั้ง ครม. ชุดใหม่
ขณะที่นโยบาย Digital Wallet ที่มีกระแสข่าวความไม่แน่นอน มองถ้าเปลี่ยนแปลง เชื่อว่างบประมาณจะถูกจัดสรรมากระตุ้นการบริโภคในรูปแบบอื่น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้น ผสานมาตรการระยะยาว
และกรณี Digital Wallet ไม่เดินหน้าจริง ด้านนโยบายการเงินไทย อาจมีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น จากเงินเฟ้อต่ำ และความเสี่ยงเงินเฟ้อจาก Digital Wallet คลายออกไป
ดังนั้นประเมินมองกรอบ SET ใน 1 เดือน จะค่อยๆ ฟื้นตัวสู่กรอบ 1,290-1,360 จุด โดยกลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์เชื่อว่าเดินหน้าต่อได้ KTB, PTT, AOT กลุ่ม Defensive ที่มีปัจจัยขับเคลื่อน สื่อสาร ADVANC, TRUE, INTUCH ร.พ. BDMS โรงไฟฟ้า GULF ค้าปลีก CPALL, CPAXT
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เชื่อว่า นโยบายต่างๆน่าจะถูกขับเคลื่อนออกมาได้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี อาทิ นโยบายหลักอย่าง DIGIRAL WALLET, กองทุน TESG-วายุภักษ์, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน, ENTERTAINMENT COMPLEX เป็นต้น ซึ่งจะหนุนให้ GDP GROWTH ยังเติบโตเป็น ขั้นบันได ดังที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ได้
โดยมองภาพครึ่งปีหลังของไทยยังดูดี ทั้ง GDP GROWTH และ กำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นแรงจูงใจต่อ FUND FLOW ต่างชาติในการซื้อสุทธิ ส่วนความกังวลนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจที่จะล่าช้า ฝ่ายวิจัยฯคาดเกิดขึ้นแต่ไม่นานนัก เนื่องด้วยโครงสร้าง พรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่เปลี่ยนแปลง