จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : TIDLOR แกร่งหนี้ NPLต่ำสุดในอุตสาหกรรม ตั้งเป้าทั้งปีคุมให้โตไม่เกิน 2%


19 สิงหาคม 2567
แม้หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อบมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ในการดูแลบริหารจัดการสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ปัจจุบันมีอัตราต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังคงเติบโตได้ต่ำกว่า 2% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพของประเทศ แม้ว่าการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องยนต์หลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย  แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยกับการส่งออกที่ชะลอตัวลงมากเมื่อเทียบกับในอดีตได้  

รายงานพิเศษ TIDLOR แกร่งหนี้ NPLต่ำสุดในอุตสาหก.jpg

และล่าสุด สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงาน เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/67 ขยายตัวได้ 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 1.9% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 67 จะขยายตัวได้ 2.3-2.8%  ซึ่งมีค่ากลางที่ 2.5% ปรับลดลงจากเดิมที่น่าจะขยายตัวได้ 2-3% โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจาก การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม คือหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในเกณฑ์สูงและมาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวด โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 90.8% ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 90.7% ซึ่งในระยะต่อไปอาจจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการพุ่งเป้าในการเข้าไปช่วยดูแล ทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อยานยนต์

ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่มที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ส่วนใหญ่ผลประกอบการยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย จากการปล่อยสินเชื่อที่ยังเติบโตได้ดี แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ช้า ทำให้หนี้เสียหรือสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

แม้หนี้ NPL จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังมีบริษัทที่ควบคุมดูแลการเพิ่มขึ้นของหนี้ NPL ได้เป็นอย่างดี  ซึ่งจะเห็นได้จากหนี้ NPL ของ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ   

โดย “ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR  ระบุ ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2567 บริษัทยังคงสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจนายหน้าประกัน โดยมีกำไรสุทธิที่ระดับ 1,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

และมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถคุม NPL ให้ไม่เกิน 2% ได้ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบธุรกิจเดียวกัน โดยในไตรมาส2 หนี้NPL ของบริษัทอยู่ที่ 1.9%  

ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรม หนี้ NPL จะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 2%  สะท้อนได้จาก บล.ฟิลลิป ที่ระบุถึงสินเชื่อของ บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น(SAWAD)ว่า ในไตรมาส2 สินเชื่อหดตัว และ NPL ยังคงเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อหดตัวลง 0.6% q-q  และทำให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 66 ลดลงเหลือ 0.4% ytd จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่วน  NPL ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเป็น 3.3% จาก 3.1% ในไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามอัตรากำไรเพิ่มขึ้นของ NPL ในไตรมาสนี้ยังน้อยกว่าไตรมาสก่อน

ส่วน บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) บล.ฟิลลิป ระบุว่า สินเชื่อในไตรมาสนี้ของ MTC เร่งตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 4.8% q-q และทำให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี66 ที่อยู่ที่ 7.8% ytd  ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเงินให้ กู้ยืมที่เพิ่มขึ้น 5% y-y ในขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อยังหดตัวต่ออีก 3% q-q  ทางด้าน NPL ถึงแม้ว่าปริมาณ NPL จะลดลงได้เล็กน้อย แต่  สินเชื่อที่เรงตัวขึ้นทำให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมลดลงเหลือ 2.88% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 3.03%