ไตรมาส 2/67 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย มีกำไรสุทธิ 2.63 แสนล้านบาท ลดลง 2.9% จากไตรมาสก่อน แต่เติบโต 17.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองกำไรสุทธิดังกล่าว ดีกว่าคาดการณ์ของฝ่ายวิจัยที่ 2.30 แสนล้านบาท ราว 14%
ทั้งนี้กลุ่มที่กำไรหดตัวจากไตรมาสก่อน คือ ปิโตรเคมี โดยเฉพาะ IVLที่มีรายการด้อยค่า ส่วนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโตเด่นสุดในรอบ 3 ไตรมาส จากกลุ่มพลังงาน เติบโต 56.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, อาหารเครื่องดื่ม เติบโต 172.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค้าปลีก เติบโต 31.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก GPM ที่ดีขึ้นการท่องเที่ยวฟื้นตัวและการเบิกจ่ายของภาครัฐ,
ขณะที่สื่อสาร เติบโต 31.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง, และอิเล็กทรอนิกส์เติบโต 38.8%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายในส่วนของ Data Center ที่เติบโตตามกระแส AI
สำหรับหุ้นใน Coverage ของฝ่ายวิจัยที่มีการ Preview ผลประกอบการทั้ง 111 บริษัทส่วนใหญ่เป็นไปตามคาดที่ 50% หรือ 56 บริษัท ดีกว่าคาด 30% หรือ 33 บริษัท และต่ำกว่าคาด 20% หรือ 22 บริษัท
ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/67 มีโอกาสชะลอทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานสูง โดยฐานไตรมาส 3/66 ได้แรงหนุนจากกำไรสต็อกน้ำมันของกลุ่มพลังงาน
ขณะที่ไตรมาส 3/67 ที่คาดชะลอจากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการชะลอตัวของภาคบริโภคในประเทศและการเบิกจ่ายงบประมาณที่ถูกกระทบจากปัจจัยการเมือง อีกทั้งกลุ่มพลังงานที่เป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดยังมีโอกาสชะลอจากไตรมาสก่อน ตามการพักตัวของราคาพลังงานด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า Downside ของ SET INDEX ในจังหวะที่ผลประกอบการ 3/67 ชะลอตัวจะอยู่ในกรอบจำกัดเพราะเป็นเพียงการชะลอชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 ทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแรงหนุนของกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ผลดีตามการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะที่ยังคงคาดการณ์ EPS ปีนี้ที่ 92 บาท/หุ้น และคาดว่า Downside ในการปรับประมาณการลงหลังจากนี้ค่อนข้างจำกัด หลังจากผลประกอบการไตรมาส 2/67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด 2 ไตรมาสติดต่อกัน
แต่ปรับ PER Multiplierลงจาก 16.5 เท่า เป็น15.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -0.5S.D. ของค่าเฉลี่ย 10ปีย้อนหลัง และเป็นระดับที่ประเมินว่าสอดคล้องกับค่าชดเชยความเสี่ยงด้านบรรษัทภิบาลที่สูงขึ้น ส่งผลให้เป้าหมาย SET INDEX สิ้นปีนี้ ถูกปรับลงเหลือ 1,450 จุด จากเดิม 1,520 จุด
โดยยังแนะนำลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขัน,ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ,และมี ESG Rating ระดับสูง ซึ่งจะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก TESG และวายุภักษ์ เช่น ADVANC, BDMS, BEM, CPALL, GULF, KTB, STA
ทั้งนี้กลุ่มที่กำไรหดตัวจากไตรมาสก่อน คือ ปิโตรเคมี โดยเฉพาะ IVLที่มีรายการด้อยค่า ส่วนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโตเด่นสุดในรอบ 3 ไตรมาส จากกลุ่มพลังงาน เติบโต 56.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, อาหารเครื่องดื่ม เติบโต 172.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค้าปลีก เติบโต 31.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก GPM ที่ดีขึ้นการท่องเที่ยวฟื้นตัวและการเบิกจ่ายของภาครัฐ,
ขณะที่สื่อสาร เติบโต 31.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง, และอิเล็กทรอนิกส์เติบโต 38.8%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายในส่วนของ Data Center ที่เติบโตตามกระแส AI
สำหรับหุ้นใน Coverage ของฝ่ายวิจัยที่มีการ Preview ผลประกอบการทั้ง 111 บริษัทส่วนใหญ่เป็นไปตามคาดที่ 50% หรือ 56 บริษัท ดีกว่าคาด 30% หรือ 33 บริษัท และต่ำกว่าคาด 20% หรือ 22 บริษัท
ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/67 มีโอกาสชะลอทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานสูง โดยฐานไตรมาส 3/66 ได้แรงหนุนจากกำไรสต็อกน้ำมันของกลุ่มพลังงาน
ขณะที่ไตรมาส 3/67 ที่คาดชะลอจากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการชะลอตัวของภาคบริโภคในประเทศและการเบิกจ่ายงบประมาณที่ถูกกระทบจากปัจจัยการเมือง อีกทั้งกลุ่มพลังงานที่เป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดยังมีโอกาสชะลอจากไตรมาสก่อน ตามการพักตัวของราคาพลังงานด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า Downside ของ SET INDEX ในจังหวะที่ผลประกอบการ 3/67 ชะลอตัวจะอยู่ในกรอบจำกัดเพราะเป็นเพียงการชะลอชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 ทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแรงหนุนของกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ผลดีตามการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะที่ยังคงคาดการณ์ EPS ปีนี้ที่ 92 บาท/หุ้น และคาดว่า Downside ในการปรับประมาณการลงหลังจากนี้ค่อนข้างจำกัด หลังจากผลประกอบการไตรมาส 2/67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด 2 ไตรมาสติดต่อกัน
แต่ปรับ PER Multiplierลงจาก 16.5 เท่า เป็น15.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -0.5S.D. ของค่าเฉลี่ย 10ปีย้อนหลัง และเป็นระดับที่ประเมินว่าสอดคล้องกับค่าชดเชยความเสี่ยงด้านบรรษัทภิบาลที่สูงขึ้น ส่งผลให้เป้าหมาย SET INDEX สิ้นปีนี้ ถูกปรับลงเหลือ 1,450 จุด จากเดิม 1,520 จุด
โดยยังแนะนำลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขัน,ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ,และมี ESG Rating ระดับสูง ซึ่งจะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก TESG และวายุภักษ์ เช่น ADVANC, BDMS, BEM, CPALL, GULF, KTB, STA